จากไม่เคยรู้มาก่อน ไม่คิดมาเลยตั้งแต่เกิด ว่า จะสามารถเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ได้ เกินความคาดหมาย เกินความคิด แต่ก็เหมือนปาฏิหาริย์ เมื่อได้ฟังคำที่เกิดจากผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ ไม่ใช่แค่คิด แต่ตรัสรู้ประจักษ์แจ้งในทุกคำที่พระองค์ได้ตรัส จึงได้ตรัสตามที่พระองค์ได้ประจักษ์แจ้ง เปลี่ยนไม่ได้เลย
ไม่มีเรามีแต่ธรรมะ
ปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก กับ อวิชชา ความไม่รู้ ย่อมแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ปัญญา มีค่ามหาศาล แต่อวิชชา เป็นอกุศล ไม่นำมาซึ่งประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น อกุศลทั้งหลาย เกิดพอกพูนมากขึ้น ๆ ก็เพราะอวิชชา ความไม่รู้
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอดว่า เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ๆ โดยไม่ปะปนกัน ซึ่งเมื่อเป็นธรรมแล้ว ก็ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
ไม่มีเรา มีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นไป เพราะยังไม่มีความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ต้น จึงยังไม่สามารถขัดเกลา ละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราได้ แต่เมื่ออาศัยการฟังการศึกษาการพิจารณาไตร่ตรองตามพระธรรมที่ได้ยินได้ฟังว่า แต่ละขณะ ๆ นั้น มีแต่ธรรมเท่านั้น ที่เกิดขึ้นเป็นไปไม่มีเราแทรกอยู่ในธรรมเหล่านั้น ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม จะไม่มีทางเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมที่มีจริงตามความเป็นจริงได้ ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ทุกขณะ ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ว่าจะได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ดีใจ เสียใจ ติดข้องยินดี พอใจ หงุดหงิด โกรธขุ่นเคือง ไม่พอใจ เป็นต้น ล้วนเป็นธรรมทั้งหมด ที่ขึ้นเกิดแล้วดับแล้ว จะเป็นเรา หรือ เป็นของของเราได้อย่างไร และที่น่าพิจารณา คือธรรม ไม่ได้หมายถึงเพียงสภาพธรรมฝ่ายดีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่หมายรวมถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ชีวิตประจำวันที่ดำเนินไปนั้นไม่พ้นไปจากธรรมทุกขณะเป็นธรรม ซึ่งไม่พ้นไปจาก จิต เจตสิก สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต และรูป เกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอดเวลา จิต เจตสิก รูปนั้น เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ที่ไม่เที่ยงนั้นเพราะเกิดแล้วดับไป
สภาพธรรมที่เกิดแล้วดับไปนั้นเป็นทุกข์ เป็นทุกข์เพราะเหตุว่าตั้งอยู่ไม่ได้ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา และเป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ปัญญาเท่านั้นที่จะทำกิจหน้าที่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง
ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด ยากที่จะเข้าใจ แต่ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ การศึกษาธรรม เป็นการศึกษาถึงสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เพื่อเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง เนื่องจากคุ้นเคยกับความเป็นตัวตน คุ้นเคยกับความเป็นเรา พร้อมทั้งได้สะสมความไม่รู้มาอย่างเนิ่นนาน จึงหลงยึดถือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่าเป็นต้วตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นเรา ดังนั้นธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงนั้น จึงควรที่จะศึกษา เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกตามความเป็นจริง ซึ่งจะเป็นไปเพื่อละคลายความไม่รู้ ละความเห็นผิดในสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้ในที่สุด โดยเริ่มต้นสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ในขณะนี้ เมื่อไม่ขาดการฟังการศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวันแล้ว ความเข้าใจถูกเห็นถูกก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น
การศึกษาธรรม จึงไม่พ้นไปจากการศึกษาเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง ๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเมื่อมีความเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี เช่น เมื่อเข้าใจว่าเป็นธรรมแล้ว จะโกรธคนอื่นไหม แทนที่จะโกรธ ก็ไม่โกรธ แต่เกิดกุศล ด้วยความเข้าใจในความเป็นธรรม นั่นเอง และเมื่อสะสมปัญญาต่อไป ก็จะเป็นไปเพื่อการไถ่ถอนการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล มีการประจักษ์ความเป็นธรรม เพราะมีการระลึกรู้ตัวจริงของสภาพธรรมแต่ละหนึ่งตามความเป็นจริง ที่จะมีความเข้าใจถูกเห็นถูกอย่างนี้ ได้ นั้น ต้องรู้ว่าพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทรงแสดงให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง ๆ โดยไม่มีใครสามารถทำให้เกิดขึ้นได้เลย ทุกขณะตั้งแต่เกิดจนตาย ก็เป็นแต่เพียงธรรมแต่ละหนึ่ง ๆ กล่าวคือ เป็นธรรมที่เป็นสภาพรู้ (นามธรรม) กับ ธาตุที่ไม่ใช่สภาพรู้ (รูปธรรม) เท่านั้นจริง ๆ ซึ่งจะต้องมีความอดทน มีความเพียร มีความจริงใจ มีความมั่นคงที่จะฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจยิ่งขึ้นต่อไป.