Home » ไตรลักษณ์ไม่ใช่คำลอยๆ

ไตรลักษณ์ไม่ใช่คำลอยๆ

( Somboon )

by Pakawa

ไตรลักษณ์ไม่ใช่คำลอยๆ แต่เป็นสิ่งที่มีปรากฏในขณะนี้ เมื่อไม่รู้จึงคิดว่า ไม่เกิดและไม่ดับด้วย แม้เกิดก็ไม่รู้ แม้ดับก็ไม่รู้ แต่ผู้ที่ทรงตรัสรู้ ทรงแสดงความละเอียดยิ่งของทุกสิ่งที่มีเพราะเกิดแล้วก็ดับไปว่า แต่ละหนึ่งเกิดขึ้นเพราะอะไรเป็นปัจจัย และปัจจัยก็มีมากมาย ไม่ได้มีเฉพาะปัจจัยเดียว

#เข้าใจไตรลักษณ์

ทุกอย่างมีเมื่อเกิดขึ้น เกิดแล้วก็ต้องดับไป เพราะว่ามีลักษณะอื่นสืบต่อ โดยไม่รู้เลยว่าเห็นเกิดแล้วดับ แล้วสิ่งที่เกิดต่อก็ดับด้วย แล้วก็มีสิ่งอื่นซึ่งเกิดต่อ แล้วก็ดับ
การเกิดดับของสภาพธรรมะยากที่จะรู้ได้ แต่พอเข้าใจได้ว่า จิตแต่ละขณะหลากหลายต่างกัน และมีผู้สงสัยว่า รูปดับด้วยหรือ จิตเกิดดับก็ไม่รู้ แล้วรูปเกิดดับก็ไม่รู้ ก็เหมือนกัน คือไม่รู้อะไรทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าจิตเกิดดับรู้ แต่รูปเกิดดับไม่รู้ เมื่อจิตซึ่งละเอียดกว่ารูป เกิดดับเร็วมาก ก็ยังไม่รู้ ถ้าไม่ฟังไม่ศึกษาพระธรรมจะไม่รู้เลย ไม่มีใครรู้ว่า จิตเกิดดับ คิดว่าเกิดแล้วก็ดับเมื่อตาย แต่ความจริงขณะนี้เห็น เกิดแล้วดับ ได้ยินก็เกิดแล้วดับ คิดนึกก็เกิดแล้วดับ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นก็ต้องมีความดับไปเป็นธรรมดา
ในเมื่อจิตเกิดดับก็ไม่รู้ และรูปเกิดดับก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ไตรลักษณ์ไม่ใช่คำลอยๆ แต่เป็นสิ่งที่มีปรากฏในขณะนี้ เมื่อไม่รู้จึงคิดว่า ไม่เกิดและไม่ดับด้วย แม้เกิดก็ไม่รู้ แม้ดับก็ไม่รู้ แต่ผู้ที่ทรงตรัสรู้ ทรงแสดงความละเอียดยิ่งของทุกสิ่งที่มีเพราะเกิดแล้วก็ดับไปว่า แต่ละหนึ่งเกิดขึ้นเพราะอะไรเป็นปัจจัย และปัจจัยก็มีมากมาย ไม่ได้มีเฉพาะปัจจัยเดียว เช่น ในขณะที่กำลังเห็นขณะนี้ เพียงไม่มีจักขุปสาทรูป แล้วไม่มีจิตเห็น สิ่งที่มีจริงๆก็ปรากฏไม่ได้ และสิ่งที่มีจริงๆขณะนี้ก็ต้องเกิดด้วย มิฉะนั้นจะมีได้อย่างไร นี่ก็เป็นความลึกซึ้งของธรรมะ ซึ่งถ้าฟังจนกระทั่งเข้าใจขึ้น ก็จะเห็นพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ ตลอด ๔๕ พรรษาเป็นเรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรื่องของสิ่งที่มีจริงทุกอย่างโดยละเอียดยิ่ง เพื่อเกื้อกูลให้ผู้ที่ยังไม่เห็นการเกิดดับ ยังไม่รู้ความเป็นไตรลักษณ์ของสภาพธรรมะซึ่งกำลังเกิดดับในขณะนี้ ค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้น เพราะเหตุว่าสภาพธรรมะที่สะสมมานานที่สุดที่ประมาณไม่ได้เลย ก็คือความไม่รู้
กว่าจะเป็นความรู้ที่สามารถค่อยๆ ทำให้ความไม่รู้หมดสิ้นไปได้ ก็ต้องอาศัยความเข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่มีจริงซึ่งเป็นวาจาสัจจะ จึงจะเป็นญาณสัจจะที่นำไปสู่มรรคสัจจะ
จะเห็นสภาพธรรมะตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรมะว่า กว่าจะรู้ความจริงเดี๋ยวนี้ว่าเป็นธรรมะแต่ละหนึ่งจริงๆ ก็ต้องอาศัยการฟังการศึกษา และสังขารขันธ์ เช่น ปัญญา มนสิการ วิตก เหล่านี้ก็เป็นสภาพธรรมะที่กำลังทำหน้าที่ กำลังเกิดขึ้นทำกิจของสภาพธรรมะนั้นๆ แต่ไม่ได้ปรากฏ เพราะเหตุว่าไม่มีปัญญาที่มีกำลังพอจะเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมะซึ่งแต่ละหนึ่งเกิดปรากฏแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว แต่ว่าปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา จนกว่าแม้แต่คำว่า “ไตรลักษณะ” หรือไตรลักขณะ ติลักขณะ สภาพธรรมะใดที่เกิด สภาพธรรมะนั้นดับ ไม่เที่ยง การเกิดดับเป็นทุกข์ ไม่ได้หมายความถึงความรู้สึก เป็นทุกข์คือไม่เป็นที่ยินดี สิ่งใดที่เป็นสุขเป็นที่ยินดี แต่สิ่งที่เกิดดับ เพียงปรากฏเร็วมาก สั้นมาก น้อยมาก แล้วก็หายไปไม่กลับมาอีกเลย สุขหรือ ที่จะต้องเป็นอย่างนี้ไปตลอด คือต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องคิดนึก อย่างเร็วมาก สั้นมากไปเรื่อยๆ และไม่มีอะไรเหลือเลย
ต่อเมื่อใดที่ได้เห็นความไม่เที่ยง การเกิดดับจริงๆ ไม่ใช่เพียงแต่คิด ก็จะเห็นระดับของปัญญาแล้วว่าต่างกัน ขั้นฟังเริ่มเข้าใจ แต่ยังไม่ใช่การรู้จริงๆ ที่เป็นการประจักษ์แจ้ง แต่เมื่อสิ่งนั้นเป็นจริงอย่างนั้น ปัญญาที่ได้อบรมแล้วเท่านั้นจึงสามารถรู้ความจริงนั้นได้ตามปกติ เพราะไม่มีใครสามารถไปบันดาลสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้เกิดขึ้น
ถ้าสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ตามปกติรู้ไม่ได้ จะเป็นปัญญาได้อย่างไร ต้องอาศัยการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทรงบำเพ็ญบารมี คุณความดี แสดงธรรม เพื่อให้อกุศลที่เคยเกิดลดน้อยลง พอที่จะให้ปัญญาที่มีกำลังสามารถเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏได้ แม้แต่อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ต้องเป็นในขณะนี้ที่เข้าใจ แล้ว ไม่หวังที่จะไม่โกรธ แต่เข้าใจสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏในขณะนั้นจริงๆว่า เกิดแล้วก็ดับ แล้วไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้ แม้ความโกรธนั้นก็ดับไปแล้ว.

You may also like

Leave a Comment

ช่องทางติดตามข่าวสาร

Copyright @2024  All Right Reserved – Buddhawisdomfoundation Buddhawisdom

-
00:00
00:00
Update Required Flash plugin
-
00:00
00:00