ถ้าเราไม่เข้าใจความหมายของคำว่า “ปฏิบัติ” ไม่เข้าใจความหมายของคำว่า “ภาวนา” เราอยากปฏิบัติ ก็เป็นความเห็นผิด เป็นโลภะ เป็นอกุศล แต่ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ตั้งแต่เบื้องต้น ธรรมะทั้งหลายเป็น อนัตตา แล้วก็รู้ว่ากุศลดีกว่าอกุศล ปัญญาก็ดีกว่าอวิชชา แต่จะมีปัญญามากๆ มีกุศลมากๆ อย่างที่อยากนี้ไม่ได้
เมื่อต้องการที่จะปฏิบัติ
ใครจะว่าอะไรก็แล้วแต่ ถ้าเขาบอกถึงเรื่องทำอย่างไรจะรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ได้ อันนั้นเป็นสิ่งที่ควรฟัง แต่ถ้าเป็นเรื่องราวของบุคคลนั้น บุคคลนี้ หรือให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วจะรู้ โดยไม่มีความเข้าใจใดๆ ที่เป็นเหตุที่จะให้รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ อะไรควรจะรู้มากกว่ากัน ซึ่งเราจะรู้จุดประสงค์ หรือคำสอนต่างๆ ได้ว่า เพื่อให้เชื่อ หรือว่าเพื่อให้ทำอย่างที่บอก หรือว่าเพื่อให้รู้ความจริงของธรรมที่กำลังปรากฏ แล้วก็เลือกเอาตามใจชอบ ไม่มีใครบังคับใครได้
ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่ศึกษาภาคปริยัติ พอได้ฟังคำที่ว่า “เรียนทฤษฏีแล้วไม่ปฏิบัติก็ไม่มีประโยชน์” ก็คล้อยตามทันที ต้องการที่จะไปปฏิบัติ ต้องแสวง หามีสถานที่ ปฏิบัติ ที่เป็นสัปปายะ
ปฏิบัติคืออะไร “ปฏิปัตติ” แปลว่าอะไร ผู้ที่ศึกษาบาลี ท่านให้ความหมายว่า ถึงเฉพาะ แปลตรงๆ “ปฏิ” แปลว่าเฉพาะ “ปัตติ” แปลว่าถึง “ถึงเฉพาะ” เราก็ไม่เข้าใจ ถ้าเราไม่ได้ศึกษา แต่ถ้าเราเข้าใจจริงๆ ขณะนี้ มีสภาพธรรมะ แต่ปัญญาที่จะถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมะแต่ละอย่างหรือเปล่า ขณะนี้ทางตาเป็นสภาพธรรมะที่มีจริงอย่างหนึ่ง ทางหูก็เป็นสภาพธรรมะที่มีจริงอย่างหนึ่ง ทุกอย่างที่เกิดปรากฏ ที่ไม่เคยรู้มาก่อน เป็นลักษณะธรรมะ แต่ละ ๑ แต่ละ ๑ ถ้าธรรมะนั้นเป็นจิต ก็เป็นจิต ไม่ใช่เจตสิก ไม่ใช่รูป ถ้าธรรมะนั้นเป็นรูป ก็ไม่ใช่จิต ไม่ใช่เจตสิก สภาพธรรมะที่เป็นนามธรรมมี ๒ อย่าง คือ จิตกับเจตสิก แม้กระนั้นจิตก็ไม่ใช่เจตสิก และจิตก็มีมากมายหลายประเภท แล้วจิตก็ไม่ใช่ว่ามีอยู่เป็นประจำ แล้วก็เกิดทำหน้าที่ต่างๆ แต่ให้ทราบความไม่มี แล้วมี แล้วไม่มี ซึ่งข้อความนี้มีในพระไตรปิฎก แสดงว่าสภาพธรรมะทุกอย่างจะเกิดเมื่อมีเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยก็เกิดไม่ได้ แม้แต่จิต หรือเจตสิก จะเรียกว่า ธาตุก็ได้ แต่ก็ต้องทราบความละเอียดของธาตุซึ่งต่างกัน อย่างรูปธาตุ เกิดขึ้นเพราะสมุฏฐานต่างๆ คือ มีกรรม มีจิต มีอุตุ มีอาหาร เป็นสมุฏฐาน แต่สำหรับนามธรรม คือ จิตและเจตสิกก็เป็นธาตุ ซึ่งเราจะต้องศึกษาให้รู้ลักษณะของธาตุนี้ ซึ่งกำลังมีอยู่ในขณะนี้ว่า เป็นธาตุ ซึ่งทันทีที่มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วดับลง ก็เป็นปัจจัยให้จิตอีกขณะหนึ่งเกิดสืบต่อ ไม่มีใครสามารถที่จะไปยับยั้งหรือดับไม่ให้จิตนี้ดับ แล้วไม่ให้เกิดอีกเลย จิตที่จะเกิดแล้วดับ แล้วไม่ให้มีจิตอื่นเกิดสืบต่อมีขณะเดียว คือ จุติจิตของพระอรหันต์ ถ้าขณะใดที่ไม่ใช่จุติจิตของพระอรหันต์ เมื่อจิตนั้นดับก็เป็นปัจจัยให้จิตอื่นเกิดสืบต่อทันทีโดยไม่มีระหว่างคั่น ปัจจัยนี้สภาพธรรมะนี้ ชื่อว่า อนันตรปัจจัย คือเป็นปัจจัยที่ทำให้สภาพธรรมะอื่นเกิดสืบต่อโดยไม่มีระหว่างคั่น นี่คือการศึกษาตามลำดับจริงๆ เพื่อที่จะให้เข้าใจสภาพธรรมะที่มีจริงๆ
ถ้าเราไม่เข้าใจความหมายของคำว่า “ปฏิบัติ” ไม่เข้าใจความหมายของคำว่า “ภาวนา” เราอยากปฏิบัติ ก็เป็นความเห็นผิด เป็นโลภะ เป็นอกุศล แต่ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ตั้งแต่เบื้องต้น ธรรมะทั้งหลายเป็น อนัตตา แล้วก็รู้ว่ากุศลดีกว่าอกุศล ปัญญาก็ดีกว่าอวิชชา แต่จะมีปัญญามากๆ มีกุศลมากๆ อย่างที่อยากนี้ไม่ได้ ถ้าทุกอย่างสำเร็จด้วยความอยาก ก็ไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากอยากเข้าไว้
นี่ก็แสดงให้เห็นอยู่แล้วว่า โลภะมีอำนาจมหาศาลแค่ไหน อยากได้หมดทุกอย่าง ยกเว้นสิ่งเดียวคือโลกุตรธรรม แม้แต่ปัญญา โลภะยังอยาก ที่ไปปฏิบัติกัน เพาะอยากมีปัญญา หรืออยากรู้แจ้งนิพพาน หรืออยากดับกิเลส หรืออะไร แต่นั่นคืออยาก
ถ้าเหตุไม่ตรงกับผล ปัญญาไม่ได้เกิดขึ้น หรือมีได้ด้วยความอยาก แต่ด้วยการฟัง ฟังผู้ที่ตรัสรู้ แล้วก็พิจารณาว่าเป็นจริงอย่างนั้นหรือไม่ จนกระทั่งเป็นความเข้าใจ เป็นปัญญาของตัวเอง ค่อยๆ เกิด ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ค่อยๆ เจริญขึ้น
“ภาวนา” หมายความถึงการอบรมเจริญสิ่งที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น สิ่งซึ่งมีอยู่เพียงเล็กน้อยก็ให้เพิ่มมากขึ้น นี่คือความหมายของภาวนา เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่เข้าใจคำนี้ เราไปทำ หรือแม้แต่คำว่า ปฏิปัตติ มรรคมีองค์ ๘ หรือว่ามรรคมีองค์ ๕ แล้วเราทำ เราทำได้ไหม หรือว่าเป็นหน้าที่ของสัมมาสติ เป็นหน้าที่ของ สัมมาสังกัปปะ ซึ่งเป็นวิตกเจตสิก เป็นหน้าที่ของสัมมาวายามะ ความเพียรชอบ เพราะว่าเกิดร่วมกับสัมมาทิฏฐิ เป็นหน้าที่ของสัมมาสมาธิ หรือเอกัคคตาเจตสิก ซึ่งเกิดกับปัญญา ต้องมีปัญญาเป็นหัวหน้า ต้องมีสัมมาทิฏฐิเป็นหัวหน้า ถ้าไม่มีสัมมาทิฏฐิ ก็ปฏิบัติผิด
การทำสมาธิ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่มีแต่เฉพาะในประเทศไทย ในต่างประเทศ หรือแม้แต่ประเทศซึ่งเขาไม่ได้นับถือพุทธศาสนา เขาก็มีสมาธิ แต่เขาไม่แยก สัมมาสมาธิ มิจฉาสมาธิ ไม่สามารถจะรู้ความจริงว่า สมาธิไม่ใช่สติ สมาธิไม่ใช่ปัญญา แล้วก็มีความหวังเลื่อนลอยว่า เมื่อสงบเป็นสมาธิ แล้วปัญญาจะเกิด แต่ถ้าถามเขาว่าปัญญารู้อะไร ก็ตอบไม่ได้ แล้วจะได้ปัญญาอะไร จากความไม่รู้ ตั้งแต่ขั้นต้น แต่อยากปฏิบัติ แล้วก็ไปปฏิบัติ แล้วก็ไม่รู้อะไรตลอด สามารถจะรู้ไหมว่า สติสัมปชัญญะ มีลักษณะอย่างไร ถ้าไม่รู้แล้วปฏิบัติอะไร ต้องไม่ลืมว่าพระธรรมเป็นเรื่องละเอียด จึงต้องศึกษาทุกคำด้วยความละเอียดรอบครอบจริงๆ.