( Somboon )
ควรที่จะเห็นความเป็นประโยชน์อย่างยิ่งของการที่จะได้เข้าใจพระธรรม เป็นผู้ที่ไม่ประมาทในการฟังพระธรรม เพราะว่าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งจะต้องไตรตรอง ศึกษา ครบถ้วน ในความถูกต้อง มิฉะนั้น ก็คลาดเคลื่อน ถ้าเข้าใจผิดไป ก็เป็นภัยอย่างยิ่ง
อารมณ์
อารมณ์ โดยความหมายทั่วๆ ไปอย่างที่เข้าใจกันนั้น มาจากภาษาอังกฤษว่า “Emotion” มีความหมายว่าความรู้สึกทางใจที่เปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งเร้า เช่น อารมณ์รัก อารมณ์โกรธ อารมณ์ดี อารมณ์ร้าย, อัธยาศัย ปรกตินิสัย เช่น อารมณ์ขัน อารมณ์เย็น อารมณ์ร้อน, ความรู้สึก เช่น อารมณ์ค้าง ใส่อารมณ์ เป็นต้น แต่นี่ไม่ใช่ความหมายที่ใช้ในพุทธศาสนา ซึ่งถ้าไม่ศึกษาให้ดี เอาความหมายที่ใช้กันทั่วๆ ไปมาใช้ในทางพุทธ ก็ทำให้เข้าใจผิด ไปคนละทางเลยทีเดียว
อารมณ์ ในทางพุทธศาสนา มาจากคำว่า อา (ทั่ว) + รมณ (ที่ยินดี ที่รื่นรมย์) ที่มายินดีทั่วของจิต ที่ยึดหน่วงของจิต หมายถึง สิ่งที่จิตรู้ จิตกำลังรู้สิ่งใด สิ่งนั้นเป็นอารมณ์ของจิต จิตจะเกิดขึ้นโดยปราศจากอารมณ์ไม่ได้ สภาพธรรมทุกอย่างสามารถเป็นอารมณ์ของจิตได้ ไม่ว่าจะเป็นจิตปรมัตถ์ เจตสิกปรมัตถ์ รูปปรมัตถ์ หรือนิพพานปรมัตถ์ แม้บัญญัติซึ่งไม่ใช่สภาพธรรม เพราะไม่มีจริงโดยปรมัตถ์ ก็เป็นอารมณ์ของจิตได้ อารมณ์มี ๖ อย่าง คือ ๑. รูปารมณ์ วัณณรูป ได้แก่ สีต่างๆ ๒. สัททารมณ์ สัททรูปได้แก่ เสียงต่างๆ ๓. คันธารมณ์ คันธรูป ได้แก่ กลิ่นต่างๆ ๔. รสารมณ์ รสรูป ได้แก่ รสต่างๆ ๕. โผฏฐัพพารมณ์ ปฐวีรูป (ดิน) เตโชรูป (ไฟ) วาโยรูป (ลม) ๖. ธัมมารมณ์ อารมณ์ที่รู้ได้ทางใจเท่านั้น ๖ อย่าง ได้แก่ จิต ๘๙, เจตสิก ๕๒, ปสาทรูป ๕, สุขุมรูป ๑๖, นิพพาน, บัญญัติ
จิต ที่เกิดขึ้นรู้สี รู้เสียง รู้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัส รู้สิ่งต่าง ๆ ตามประเภทของจิตนั้น เช่น จิตที่เกิดขึ้นเห็นสีทางตา เป็นจิตประเภทหนึ่ง จิตที่เกิดขึ้นรู้เย็น รู้ร้อนรู้อ่อน รู้แข็ง รู้ตึง รู้ไหวทางกาย เป็นจิตประเภทหนึ่ง จิตที่นึกคิดที่เกิดขึ้นรู้เรื่องต่างๆทางใจ เป็นจิตประเภทหนึ่ง ดังนี้เป็นต้น ทั้งนี้ตามประเภทของจิต และตามปัจจัยที่ทำให้เกิดจิตประเภทนั้น ๆ
ในขณะที่จิตกำลังเห็นสิ่งใดอยู่นั้น ขณะนั้นมิได้มีแต่เฉพาะจิตที่เห็นเท่านั้น แต่ต้องมีทั้งจิตเห็น และสิ่งที่จิตเห็น เมื่อมีสิ่งที่ถูกเห็นขณะใด ก็แสดงว่าขณะนั้นต้องมีสภาพเห็น คือ จิตเห็นด้วย แต่ถ้ามุ่งสนใจเฉพาะวัตถุหรือ สิ่งที่ถูกเห็นเท่านั้น ก็จะทำให้ไม่รู้ความจริงว่า สิ่งที่ถูกเห็นนั้นจะปรากฏได้ ก็เพราะจิตที่เกิดขึ้นทำกิจเห็นสิ่งนั้น ในขณะนึกคิดก็เช่นเดียวกัน เมื่อจิตนึกคิดเรื่องใด เรื่องราวนั้นเป็นคำที่จิตกำลังคิดนึกอยู่ขณะนั้น เมื่อจิตเกิดขึ้นรู้สิ่งใด สิ่งที่จิตรู้นั้น ภาษาบาลีเรียกว่า อารมณ์
อารมณ์ คือ สิ่งที่ถูกจิตกำลังรู้ จิต เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ เมื่อจิตเกิดขึ้น ก็ต้องรู้อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด ตามควรแก่จิตประเภทนั้น ๆ
ก็ต้องตั้งต้นจริงๆ ว่า สิ่งที่มีจริงทุกอย่างทุกประการ เป็นธรรม เมื่อกล่าวถึง ธรรม แล้ว ก็เข้าใจว่า เป็นสิ่งที่มีจริง เช่นเห็น เป็นธรรม ได้ยิน เป็นธรรม โกรธ เป็นธรรม ติดข้อง เป็นธรรม ความละอาย เป็นธรรม ความเข้าใจ เป็นธรรม สี เป็นธรรม เสียง เป็นธรรม เป็นต้น เพราะมีจริง เป็นสภาพธรรมที่ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตนๆ ซึ่งไม่มีใครจะไปเปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรม ไม่ว่าจะมีชื่อว่าอย่างไร ธรรม ย่อมไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะ ธรรมธรรม สำหรับสิ่งทีมีจริงนั้น ก็แยกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ สภาพธรรมที่เป็นนามธรรม (จิต เจตสิก และพระนิพพาน) และ รูป เมื่อว่าโดยความหมายแล้ว นามธรรม เป็นสภาพธรรมที่น้อมไปสู่อารมณ์ (อารมณ์ คือ สิ่งที่จิตรู้) เช่น เห็น เป็นนามธรรม เพราะเป็นสภาพรู้ ธาตุรู้ ในขณะนั้น มีจิตเห็น พร้อมทั้งเจตสิก เกิดขึ้น ตามเหตุตามปัจจัยแล้วดับไป เป็นต้น ซึ่งได้แก่ จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) และ เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดพร้อมกับจิต ดับพร้อมกับจิต รู้อารมณ์เดียวกันกับจิต และในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ก็อาศัยที่เกิดที่เดียวกันกับจิต ตัวอย่างเจตสิก เช่น โลภะ โทสะ โมหะ ผัสสะ เวทนา เจตนา เป็นต้น)
นอกจากนั้น ก็ยังมีนามธรรม อีกประเภทหนึ่ง คือพระนิพพาน เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นนามธรรมที่ไม่รู้อารมณ์
ส่วน รูปธรรม เป็นสภาพธรรมที่มีจริง แต่ไม่รู้อะไร ไม่รู้อารมณ์เหมือนอย่างนามธรรม รูปธรรม มีทั้งหมด ๒๘ รูป มี สี เสียง กลิ่น รส เย็นร้อน อ่อนแข็ง ตึงไหว เป็นต้น ธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง นั้น ไม่ต้องไม่หาที่ไหนเพราะมีจริงทุกขณะ ทุกขณะเป็นธรรม ไม่พ้นไปจากธรรม กล่าวคือ จิต เจตสิก และ รูป แต่ละอย่างแต่ละประการ เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ไม่ปะปนกัน หาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคลในสภาพธรรมเหล่านั้นไม่ได้เลยจริงๆ
ดังนั้น อารมณ์ เป็นสิ่งที่จิต (และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย) รู้ ครอบคลุมสิ่งที่มีจริงทั้งหมด อันจิตสามารถรู้ได้โดยความเป็นอารมณ์ของจิต รวมถึงบัญญัติด้วย ส่วนรูป ก็หมายถึงเพียงสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร ถ้า รูป คำเดียว บางแห่งกล่าวถึงรูปธรรมทั้งหมด บางแห่งก็กล่าวเจาะจงเพียง สี หรือ สิ่งที่ปรากฏทางตา เท่านั้น ก็จะต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษาไป และไม่ขาดการฟังพระธรรม.
