“ชนเหล่าใด มีปกติรู้ในสิ่งที่ไม่เป็นสาระว่าเป็น สาระ และเห็นในสิ่งอันเป็นสาระว่า ไม่เป็นสาระ ชนเหล่านั้น มีความดำริผิดเป็นโคจร ย่อมไม่ประสพสิ่งอันเป็นสาระ ชนเหล่าใด รู้สิ่งเป็นสาระ โดยความเป็นสาระ และสิ่งไม่เป็นสาระโดยความไม่เป็นสาระ ชนเหล่านั้น มีความดำริชอบเป็นโคจร ย่อมประสพสิ่งเป็นสาระ”
สิ่งที่เป็นสาระ
“ชนเหล่าใด มีปกติรู้ในสิ่งที่ไม่เป็นสาระว่าเป็น สาระ และเห็นในสิ่งอันเป็นสาระว่า ไม่เป็นสาระ ชนเหล่านั้น มีความดำริผิดเป็นโคจร ย่อมไม่ประสพสิ่งอันเป็นสาระ ชนเหล่าใด รู้สิ่งเป็นสาระ โดยความเป็นสาระ และสิ่งไม่เป็นสาระโดยความไม่เป็นสาระ ชนเหล่านั้น มีความดำริชอบเป็นโคจร ย่อมประสพสิ่งเป็นสาระ.”
ชีวิตเป็นไปชั่วขณะนี้สั้นๆ เท่านั้น แล้วก็หมดไปอย่างรวดเร็ว สืบต่อกันไปไม่ขาดสาย จนกลายเป็นเรื่องราวต่างๆ มากมายทั้งดีบางไม่ดีบ้าง ถ้าเราคิดย้อนไปในอดีต ตั้งแต่สมัยเด็ก จนถึงเดี๋ยวนี้ มีเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต มากมาย ทุกเรื่องก็จบไปหมดไป ทั้งสุขทั้งทุกข์ เรื่องที่เราคิดว่าสำคัญหนักหนา ก็ไม่ได้สำคัญอะไร มันจบไปหมดไป แล้วก็มีเรื่องใหม่เข้ามา เป็นอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเหล้า เรื่องที่สำคัญตอนเด็กๆ เพราะความคิดของเรายังเด็กๆ ตอนนี้ก็ไม่สำคัญอย่างที่เราคิด เช่นเดียวกัน เรื่องที่เกิดขึ้นก็จบไปหมดไปไม่ได้สำคัญอย่างที่เราคิด มันเหมือนกับเรื่องอื่นๆ ที่ผ่านมาแล้วนั่นแหละ แต่ที่สำคัญที่สุดคือในขณะนี้เดี๋ยวนี้ ถ้าความคิดของเราติดอยู่กับเรื่องที่จบไปแล้ว แน่นอนส่วนใหญ่ก็เป็นอกุศล ซึ่งจะปิดโอกาศของกุศลที่จะเกิด คนเรามีชีวิตอยู่อีกไม่นานเลย อย่าไปเสียเวลากับเรื่องที่ไม่เป็นสาระ ใช้เวลาที่เหลือมาศึกษาพระธรรมคำสอน (ที่ถูกต้อง) ให้เป็นความเข้าใจถูกความเห็นถูก ตามความเป็นจริง อบรมเจริญปัญญาดีกว่า แล้วปัญญานั้นแหละจะนำไปในสิ่งที่ถูกที่ควร
ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ชั่วคราว ปัญญาเป็นสาระของชีวิต สิ่งที่มีค่า คือ สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ได้รับฟังพระธรรมไม่เข้าใจเสียตั้งแต่ชาตินี้ ชาติต่อไปมีโอกาสจะได้ฟังไหม แล้วก็มีโอกาสจะเข้าใจหรือเปล่า นี่เป็นสิ่งซึ่งใครก็ช่วยไม่ได้ ในเมื่อมีโอกาสจะได้ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า เราสนใจสิ่งที่เป็นสาระ มีสาระ จริงๆ หรือเปล่า เพราะว่า สิ่งที่เราสนใจ หมดแล้ว แล้วเราก็สนใจสิ่งใหม่ หมดอีก แล้วเราก็สนใจสิ่งใหม่ตลอดเวลา มีอะไรบ้างที่เหลือ ที่ยังอยู่ ที่เราจะกล่าวได้ว่า ไม่ได้หมดไปเลย ความสุขมีแน่ ชั่วคราว ความทุกข์มีแน่ ชั่วคราว เห็น มีแน่ ชั่วคราว คิด มีแน่ ชั่วคราวหมด แล้วหมดจริงๆ หายไปหมดจริงๆ ไม่เหลือเลย แต่ก็มีสิ่งที่เกิดใหม่ ทำให้ติดข้อง และไม่รู้ต่อไป ก็เป็นอย่างนี้ แต่ก็น่าคิด แม้บางคำ แต่ต้องไตร่ตรอง สิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นว่ามี แล้วก็หมดไป ไม่เหลืออีกเลย ควรติดข้องในสิ่งนั้นไหม ในที่สุดก็ไม่มี ในที่สุดก็ไม่เหลือ เหมือนกับเกิดมา เกิดมามีทุกอย่าง มีเห็น มีได้ยิน มีความสนุกสนานต่างๆ แล้วก็ไม่เหลือ แล้วก็ต้องจากโลกนี้ไป ไม่มีอะไรตามไปได้เลยสักสิ่งเดียว นอกจากความเข้าใจ (ปัญญา) ความจริง (สัจจะธรรม) จากการฟังการศึกษาพระธรรมคำสอนของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นสาระที่แท้จริง.




