Home » สมถภาวนา

สมถภาวนา

( Somboon )

by Pakawa

คิดว่าตั้งมั่นแล้ว จดจ้องอยู่ที่ลมหายใจแล้ว นั่นกล่าวถึงเพียงลักษณะของสมาธิ ไม่ได้กล่าวถึงลักษณะของความสงบ และเอาสมาธินั้นมาเป็นเครื่องวัดความสงบ ซึ่งสมาธินั้นเกิดกับอกุศลจิต เป็นโลภมูลจิตได้ขณะนั้นไม่สงบ แต่ถ้าปัญญาเกิดขึ้นพร้อมทั้งความสงบ และสมาธิขณะนั้นจึงเป็นความสงบ

สมถภาวนา

 การเจริญสมถภาวนาเป็นความรู้ความต่างกันของอกุศลจิตและกุศลจิต ผู้จะเจริญสมถภาวนาเห็นโทษของอกุศลจิตอย่างละเอียด แต่ไม่ได้รู้ว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เพียงแต่รู้หนทางวิธีว่า ทำอย่างไรจิตจึงจะสงบจาก โลภะ โทสะ โมหะ และอกุศลธรรมในขณะนั้น มีความรู้เพียงขั้นนั้น มีความรู้ว่าจิตจะสงบได้อย่างไร
      ดังนั้น การทำด้วยความต้องการ จึงเป็นความไม่สงบ ไม่ใช่ความสงบ ถ้ารู้ลักษณะของความสงบคือสงบจากอกุศลแล้ว ขณะนั้นเป็นกุศล เป็นความสงบ เกิดขึ้นอีกก็จะสงบ แล้วจะสงบมั่นคงขึ้นถ้าปราศจากความต้องการ แต่เพราะเหตุว่ามีความต้องการ มีความสงสัยซึ่งขณะนั้นไม่สงบ แต่ไม่รู้ลักษณะของความไม่สงบในขณะนั้น
      มีความต้องการเกิดแล้วเพราะไม่รู้ลักษณะของความสงบ ขณะนั้นยากที่จะเป็นความสงบจริงๆ เพราะเหตุว่าไม่รู้ว่า มนสิการพิจารณาอย่างไรจิตจึงสงบ เช่นการระลึกรู้ลักษณะของลมหายใจ ไม่ได้หมายความว่า ทุกคนที่จดจ้องที่ลมหายใจ จิตจะสงบ ขณะนั้นเป็นโลภมูลจิต มีความต้องการจดจ้องที่ลมหายใจ ไม่ใช่ความสงบ ถ้าเป็นสติปัฏฐานต้องละการยึดถือลมหายใจว่าเป็นตัวตน เป็นแต่สภาพอ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน แล้วแต่อารมณ์อะไรจะปรากฏ ก็มีลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตนทั้งสิ้น นั่นเป็นสติปัฏฐาน อย่าปนกัน ความสงบของสติปัฏฐานต้องประกอบด้วยปัญญาที่รู้ในลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตน ละการยึดถือสภาพนั้นว่าเป็นตัวตน ความสงบที่เป็นสมาธิ หรือสมถภาวนา ความสงบที่ลมหายใจที่เป็นสมถภาวนาต้องมีปัญญาที่รู้วิธีที่จะสงบในขณะที่รู้ลมหายใจ พิจารณาอย่างไร ระลึกอย่างไรจึงสงบ เวลาอยู่ในป่า ไม่ใช่ในโรงหนังโรงละคร มีดอกไม้สวยๆ ลมพัดเย็นๆ มีแม่น้ำลำธาร มีนกร้อง รู้สึกสงบแล้วไม่เหมือนเวลายุ่ง คิดมากนอนไม่หลับฟุ้งซ่าน เข้าใจว่าขณะนั้นสงบ แต่ให้ทราบว่า ขณะนั้นไม่สงบ ตราบใดที่มีความพอใจ จะชื่อว่าสงบไม่ได้
      หลักที่จะรู้ว่า เป็นสมถภาวนาหรือไม่ใช่สมถภาวนา คือว่าขณะนั้นประกอบด้วยปัญญาหรือไม่ประกอบด้วยปัญญา ถ้าไม่ประกอบด้วยปัญญาแล้วจะไม่เป็นสมถภาวนาแน่นอน นั่งอยู่ในป่า ดูพระอาทิตย์ตก ตื่นมาเข้าๆ ทุกอย่างเงียบสงบ ก็เข้าใจว่าสงบ แต่ความจริงไม่ใช่ เป็นโลภะก็ได้ในขณะนั้น เพราะเหตุว่าไม่มีปัญญาที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมะที่ปรากฏ อย่าเพิ่งรวบรัดว่าเป็นความสงบ แล้วเจริญไปๆ ปัญญาก็ไม่เพิ่มขึ้นเลย ความสงบจะเพิ่มกำลังขึ้นได้อย่างไรถ้าปราศจากปัญญา ความสงบจะสงบขึ้นมั่นคงขึ้นต้องประกอบด้วยปัญญา จึงจะเพิ่มขึ้นได้
      ถ้าปราศจากปัญญาแล้วไปนั่งจดจ้องสักเท่าไร ก็ไม่สงบแต่เข้าใจว่าสงบ วิธีที่จะรู้ว่าสงบหรือไม่สงบก็คือ ขณะนั้นประกอบด้วยปัญญาหรือไม่ ปัญญาในขณะนั้นรู้อะไร ถ้าเจริญความสงบ ความสงบก็สงบขึ้นเท่านั้น แต่เมื่อไม่สงบขึ้น แล้วมีความพอใจเกิดขึ้น มีความต้องการเกิดขึ้น มีความกระวนกระวายกระสับกระส่าย มีความไม่รู้หนทาง มีความต้องการให้สงบขึ้น ขณะนั้นไม่ใช่ลักษณะของความสงบ แล้วไม่ใช่หนทางที่จะสงบขึ้น เพราะไม่ได้เริ่มจากความสงบที่ประกอบด้วยปัญญา
การเจริญภาวนาทั้งสมถภาวนา และวิปัสสนาภาวนาต้องเกิดจากความรู้ที่ต่างขั้นกัน ความรู้ขั้นสมถะรู้แต่เพียงว่าสภาพของจิตที่สงบเป็นอย่างไร และอารมณ์ที่จะทำให้จิตสงบนั้นคืออารมณ์อะไร ประกอบด้วยปัญญาอย่างไร แล้วจึงจะเจริญได้
     เพราะฉะนั้น การที่จะให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดไปจดจ้องที่ลมหายใจ นั่นไม่ใช่ข้อปฏิบัติของการเจริญสมถภาวนา แม้แต่ตัวท่านเอง หรือท่านจะบอกบุคคลอื่นว่า ให้จดจ้องที่ลมหายใจแล้วจิตจะสงบ นั่นก็ผิด เพราะบุคคลที่รับคำสั่งนั้นไม่มีปัญญาที่จะรู้อะไรเลย มีแต่จดจ้องที่ลมหายใจเท่านั้น นั่นไม่ใช่ลักษณะของความสงบ ไม่ใช่ลักษณะของปัญญา เป็นเพียงสมาธิที่เกิดกับอกุศลจิต เป็นมิจฉาสมาธิ.

You may also like

Leave a Comment

ช่องทางติดตามข่าวสาร

Copyright @2024  All Right Reserved – Buddhawisdomfoundation Buddhawisdom

-
00:00
00:00
Update Required Flash plugin
-
00:00
00:00