สมาธิ ไม่ใช่ว่าจะเป็นกุศลอย่างเดียว มีทั้งสมาธิที่เป็นกุศล และอกุศล ท่านจึงแสดง สัมมาสมาธิ และมิจฉาสมาธิ แม้สมาธิที่เป็นกุศลแต่ไม่เป็นไปเพื่อดับกิเลส แต่เป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ไม่ประกอบด้วยปัญญา ไม่ใช่ สัมมาสมาธิ
#มิจฉาสมาธิมีโทษมาก
พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นเรื่องของเหตุและผล เหตุถูกผลย่อมถูก สมดังที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ในเรื่องเหตุและผลอย่างถูกต้องว่า เมื่อบุคคลปลูกข้าวสาลี ย่อมได้ข้าวสาลี ไม่ใช่ได้ผลสะเดา แต่เมื่อบุคคล ปลูกต้นสะเดาย่อมได้สะเดา ไม่ใช่ได้ข้าวสาลี เพราะฉะนั้น เหตุเป็นอย่างไร ผลก็ต้องเป็นอย่างนั้น ซึ่งอุปมานี้ เป็นการยกตัวอย่างของ กฎแห่งกรรม ที่เป็นไปในทางกุศลและอกุศล คือเมื่อกุศลกรรมเกิดขึ้น ผลย่อมเป็นสุข ดี ไม่สามารถให้ผล เป็นความทุกข์ ไม่ดี ที่เป็นผลของอกุศลกรรมได้ และอกุศลกรรมเมื่อเกิดขึ้นย่อมนำมาซึ่งความไม่ดี ซึ่งเป็นไปตามเหตุและผล อย่างถูกต้อง พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงจึงเป็นเรื่องของเหตุ และผลที่ถูกต้องตรงกันเสมอ
การไปนั่งสมาธิ ที่สำคัญว่า เป็นสัมมาสมาธิ แท้ที่จริงเป็นมิจฉาสมาธินั้น ก็ต้องพิจารณาตามเหตุและผล อย่างละเอียดจริง ๆ มิจฉาสมาธิ เป็นอกุศล เพราะ ตั้งมั่นในอกุศล มีการจดจ่ออยู่ในอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด แต่ไม่เกิดปัญญารู้อะไร ดังนั้นตามที่กล่าวไว้ในข้อความข้างต้น เหตุกับผลต้องตรงกัน เมื่อเป็นอกุศล คือมิจฉาสมาธิ ผลคือ ความไม่รู้ อกุศลเพิ่มขึ้น นี่คือผลของ มิจฉาสมาธิ ที่เป็นเหตุและผลที่ตรงกัน และ มิจฉาสมาธิ จะทำให้เกิดสัมมาสมาธิไม่ได้ เพราะสัมมาสมาธิ เป็นความตั้งมั่นในกุศลธรรม ที่เป็นการเจริญสมถภาวนาและวิปัสสนา เกิดจากเหตุที่ถูกคือ เกิดจากกุศลธรรมที่เริ่มจากปัญญา กุศลในขั้นการฟังพระธรรมให้เข้าใจในหนทางที่ถูกต้อง แต่สัมมาสมาธิไม่ได้เกิดจาก อกุศลธรรม ไม่ได้เกิดจากความไม่รู้ ไม่ได้เกิดจากอกุศลเป็นเหตุ
เหตุให้เกิดมิจฉาสมาธิ คือความไม่รู้ และความเห็นผิด ซึ่งผลของมิจฉาสมาธิ คือความเจริญในความไม่รู้ ความเห็นผิด และ กิเลสประการต่าง ๆ
เหตุให้เกิดสัมมาสมาธิ คือปัญญาขั้นการฟัง อันเกิดจากการศึกษาพระธรรม ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงในหนทางที่ถูกต้อง จึงเกิดจากกุศลธรรมเป็นสำคัญ และผลของสัมมาสมาธิ คือการเจริญขึ้นของกุศลธรรม ที่เป็นการเจริญสมถภาวนาและผลอีกประการ คือการรู้ความจริงของสภาพธรรมและถึงการดับกิเลส อันเป็นสัมมาสมาธิที่เกิดกับปัญญา ในขั้นวิปัสสนาภาวนา
ในพระไตรปิฎก มีแสดงชัดเจนว่า มิจฉาสมาธิ นำมาซึ่งทุกข์ โทษ อกุศลประการต่าง ๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ จะนำมาซึ่ง สัมมาสมาธิไม่ได้เลย เพราะ มิจฉาสมาธิเป็นอกุศล ข้อความในพระไตรปิฎกดังต่อไปนี้
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ – หน้าที่ 381
ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า วิบากแห่งมิจฉาสมาธิ เป็นสิ่งที่ชั่วช้าทั้งในปัจจุบันทั้งในสัมปรายภพ ครั้นพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมละมิจฉาสมาธิ ย่อมปลงบาปจากมิจฉาสมาธิ
จากข้อความในพระไตรปิฎก แสดงชัดเจนว่า มิจฉาสมาธิ ชั่วช้า เป็นอกุศลธรรม นำมาซึ่งทุกข์ในโลกนี้ และโลกหน้า และเมื่อพิจารณาด้วยปัญญา แล้ว ย่อมละมิจฉาสมาธิ ดังนั้น การจะเห็นมิจฉาสมาธิ ก็ด้วย ปัญญาที่เกิดขึ้น จึงจะรู้ได้ แต่หากไม่สะสมเหตุ คือการฟังการศึกษาพระธรรม เห็นโทษของมิจฉาสมาธิ ปัญญาก็ไม่เกิด ก็ยังอบรม มิจฉาสมาธิต่อไป ก็นำมาซึ่งทุกข์ และโทษ
ข้อความในพระไตรปิฎก อีกข้อความหนึ่ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 29
ภิกษุรู้จักสัมมาสมาธิว่าเป็นสัมมาสมาธิ, ภิกษุรู้จักมิจฉาสมาธิว่าเป็นมิจฉาสมาธิ ความรู้ของเธอนั้นเป็นสัมมาทิฏฐิ.
จากข้อความนี้ แสดงให้เห็นว่า พึงรู้จัก เห็นอกุศลตามความเป็นจริง การรู้จักเช่นนี้ก็ด้วยปัญญา แต่ขณะที่อบรมมิจฉาสมาธิ เป็นอกุศล ขณะที่อกุศลเกิด ย่อมไม่เห็นอรรถ ไม่เห็นธรรม ไม่ใช่ปัญญา มิจฉาสมาธิ จึงไม่ใช่ การรู้ตามความเป็นจริง แต่เมื่อได้อบรมปัญญาในขั้นการฟัง และเห็นโทษของการอบรมมิจฉาสมาธิ และรู้ตามความเป็นจริงว่าอย่างไรเป็น มิจฉาสมาธิเป็นอกุศล ความรู้นั้นเป็น สัมมาทิฏฐิ จะเห็นว่าต้องอาศัยสัมมาทิฏฐิ ปัญญา ความเห็นถูกเป็นสำคัญ จึงจะรู้และเปลี่ยนจากมิจฉาสมาธิ เป็นสัมมาสมาธิได้ เพราะฉะนั้น แทนที่จะอบรมมิจฉาสมาธิต่อไป ก็ควรฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ เพื่อเห็นตามความเป็นจริงว่า มิจฉาสมาธิมีโทษ ความรู้กลับมาสู่ความเห็นถูก ในการอบรมปัญญา ที่รู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ โดยที่ไม่ต้องไปนั่งสมาธิ.