สติ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นเจตสิกประเภทหนึ่ง เกิดร่วมกับจิตฝ่ายดีทุกประเภทสติเป็นอนัตตา ไม่มีใครบังคับให้สติเกิดขึ้นได้ สติย่อมเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย โดยต้องอาศัยฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม และมีกัลยาณมิตร สติเป็นสภาพธรรมที่ระลึกเป็นไปในทาน เป็นไปในศีล งดเว้นไม่กระทำบาปทั้งปวง เป็นไปในสมถภาวนา การอบรมเจริญความสงบของจิต และเป็นไปในวิปัสสนาภาวนา การอบรมเจริญปัญญา เพื่อเห็นแจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง
การเจริญสติ
สติ ฝึกได้ด้วยการอบรมตั้งแต่การฟังให้เข้าใจ ขณะที่ฟังเข้าใจ สติก็เกิดขึ้นกระทำกิจเมื่อสะสมความเข้าใจมากขึ้น บ่อยขึ้น สติย่อมเกิดบ่อยและมีกำลังมากขึ้นตามความเข้าใจ เมื่อสติเกิดบ่อย สติและสัมปชัญญะย่อมศึกษาสภาพธรรม คือ ค่อยๆรู้ตามเป็นจริงมากยิ่งขึ้น สติและปัญญาย่อมเจริญและมีกำลังเป็นลำดับอย่างนี้ และ ที่สำคัญคือไม่ใช่ตัวเราฝึกสติ แต่สติเกิดเพราะมีปัจจัย ดังนั้นการฟัง การศึกษาพระธรรมคำสอนให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น ชื่อว่าการอบรมสติและปัญญา ซึ่งย่อมรวมถึงอินทรีย์อื่นๆ มี ศรัทธา วิริยะ สมาธิ ก็ย่อมฝึกเป็นไปตามลำดับด้วยอาการอย่างนี้
ที่สำคัญต้องเข้าใจว่าสติคืออะไร สติคือธรรมฝ่ายดี เกิดกับจิตที่เป็นกุศลทุกประเภท รวมทั้งเกิดกับวิบากจิต และกิริยาจิตบางประเภท แต่เมื่อพูดถึงสติที่หมายถึงการเจริญวิปัสสนานั้น ต้องมีปัญญาเกิดร่วมด้วย และควรเข้าใจว่าสติและปัญญาที่เป็นไปในการเจริญวิปัสสนานั้น คือเข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ คือสติระลึกสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ ปัญญารู้ตามความเป็นจริงในขณะนั้นว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา แต่สติและปัญญาเป็นธรรมและเป็นอนัตตา ต้องมีเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น ดังนั้นต้องอบรมเหตุที่ถูกต้อง คือฟังให้เข้าใจก่อน ว่าธรรมคืออะไร สภาวะธรรมของธรรมะแต่ละธรรมะเป็นอย่างไร และเป็นอนัตตาอย่างไร เพราะถ้าไม่เข้าใจ สติและปัญญาก็ไม่มีทางเกิดได้เลย เพราะไม่มีปัญญาขั้นการฟังที่รู้ว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ก็ไม่เป็นเหตุปัจจัยให้สติและปัญญาเกิด เพราะสติและปัญญาเกิดก็รู้ความจริงที่มีในขณะนี้
ดังนั้นจึงไม่มีตัวตนที่จะพยายามไปฝึกสติ และที่สำคัญถ้าอบรมเหตุผิด เช่น ไปนั่งสมาธิ ไปจดจ้องสภาพธรรมที่เกิดขึ้น เป็นโลภะ ไม่ใช่สติ นั่นไม่ใช่เหตุปัจจัยให้สติเกิด ดังนั้นต้องเริ่มจากเหตุที่ถูกต้อง คือฟังให้เข้าใจก่อนว่าธรรมคืออะไร เป็นต้น ขณะที่ฟังเข้าใจ แม้ในขณะนี้ที่อ่านนี้ก็ตาม ขณะนั้นแม้จะไม่เรียกชื่อว่ากำลังฝึกสติ แต่ก็เป็นการอบรมเหตุที่ถูกต้องที่เป็นปัจจัยให้สติและปัญญาเกิด นั่นคือสังขารขันธ์ทำหน้าที่ปรุงแต่งเอง ขณะที่เข้าใจ ไม่มีตัวตนไปพยายามฝึกสติ เพราะขณะที่ทำ ขณะที่จะพยายาม นั่นไม่ใช่เหตุให้เกิดสติ
ก่อนจะทำอะไรก็ตาม ควรศึกษาให้เข้าใจว่า สิ่งนั้นคืออะไร ศึกษาให้รู้ ให้เข้าใจอย่างชัดเจนก่อนเพราะถ้าตั้งต้นผิดก็ต้องทำผิด ผลก็ต้องผิดตามไปด้วย จะให้ผลจบลงด้วยความถูกต้อง แต่เหตุผิด เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ถ้าเรายังไม่เข้าใจลักษณะของ “สติ” ก็อย่าเพิ่งใจร้อน ควรฟังธรรมะให้เข้าใจในความเป็น “ธรรมะ” ก่อนเพราะถ้าเราข้ามไป ไม่มีความเข้าใจในความเป็นธรรมะจริงๆ เราก็จะเพียงใช้ชื่อเรียกการกระทำนั้นว่าเป็น “การเจริญสติ” แต่ความจริงไม่ได้มี “สติ” เกิดขึ้นเลยสักขณะจิต.