พระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดง แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรม ที่กำลังมีกำลังเป็นอยู่ในขณะนี้ เป็น จิต เจตสิก รูป ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง เกิดขึ้นแลัวดับไป ด้วยเหตุปัจจัย ปราศจาก ตัวตนที่เป็น เรา คน สัตว์ สิ่งของ ทรงแสดงโดยนัยต่างๆ อเนกปริยาย ไม่ว่าจะเป็น ขันธ์ ธาตุ อายตนะ ฯลฯ ทั้งหมด เพื่อให้ผู้ฟังที่มีอุปนิสัยที่สะสมมาต่างกัน เข้าใจถูกเห็นถูก ในความเป็นจริง
เรื่องของสติปัฏฐาน
เมื่อฟังพระธรรมจนกระทั่งเกิด “ความเข้าใจที่มั่นคงจริงๆ” สติ จะไม่ระลึกนั้นไม่มี แต่ถ้าฟังพระธรรมแล้วก็ยังไม่เข้าใจ แล้วจะไประลึกนั้น จะถูกไหม ถ้าฟังพระธรรมแล้วยังไม่เข้าใจ ก็ควรที่จะฟังให้เข้าใจขึ้นๆ ขณะที่กำลังเข้าใจขึ้นๆ นั้น คือ “การระลึก” เกิดแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่า “สภาพธรรมที่มีลักษณะระลึก” เกิดแล้ว ซึ่งใช้คำเรียกว่า “สติ” แต่ขณะที่กำลังฟังพระธรรมแล้วเข้าใจ ไม่ใช่ขณะที่กำลังระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรม เพียงแต่ รู้เรื่องของธรรมะ และเข้าใจเรื่องของสภาพธรรมที่ได้ฟัง นี่เป็น “สติ” ขั้นแรกจนกว่าความเข้าใจจากการฟังพระธรรมจะมั่นคงจริงๆ จนกระทั่งสติขั้นระลึก รู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังเกิดปรากฏ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ขณะนั้น ก็สามารถที่จะรู้ว่า สิ่งที่มีจริงๆ นั้นมีจริงอย่างไร
พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคฯ ทรงแสดง เป็นเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริง และกำลังมีในขณะนี้ด้วย แสดงให้เห็นว่า “ความเข้าใจ” แต่ละระดับจะมากหรือน้อยแค่ไหนก็ต้องมาจาก “การสะสม” และ “ความเข้าใจ” คือสะสมความเข้าใจ ในสิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้ ทีละเล็ก ทีละน้อย
เมื่อสภาพธรรมที่เข้าใจ เกิดขึ้น สภาพธรรมที่เข้าใจนั้น ก็ต้องดับไป และต่อจากนั้น ก็เป็น สภาพธรรมอื่นๆ เช่น โลภะบ้าง โทสะบ้าง คือ กุศลจิต หรือ อกุศลจิต เกิดต่อไป ซึ่งก็แล้วแต่ “เหตุปัจจัย” แต่ทั้งหมดเป็น “ธรรมะ” หมายความว่าเมื่อ ปัญญามีกำลังมากพอ ปัญญาจะรู้ว่าสภาพธรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น สติ โลภะ โทสะ ฯลฯ ที่เกิดปรากฏ นั้นเป็น “ธรรม” คือ สภาพธรรมแต่ละประเภทๆ เท่านั้น ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน ใดๆ ทั้งสิ้น
สภาวะธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ซึ่งเพียงปรากฏเล็กน้อย เป็นเวลาที่สั้นมาก ปรากฏแล้วดับไปทันที ผ่านไปแล้ว หมดไปแล้ว ยิ่งพยายามที่จะไประลึกถึงสภาพธรรม ซึ่งเกิดดับ ผ่านไป หมดไปแล้วมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็น “ตัวเรา” ที่พยายามไประลึกถึงสิ่งที่ผ่านไปแล้ว เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ให้สติระลึก แต่ไม่เข้าใจว่าสติ คืออะไร ยิ่งไปพยายามให้สติระลึก ก็เป็นตัวเราที่พยายามที่จะไปทำ ยิ่งทำเท่าไรก็เป็นตัวเราที่ทำ ไม่ใช่สติ
ขณะที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้นไม่ใช่ขณะที่ ลักษณะของสติปรากฏ โดยมากมักจะข้ามความเข้าใจในความเป็นธรรมะ แต่มักจะเรียกชื่อ เช่นคำว่า “สติ” รู้ชื่อแต่ไม่รู้ว่า สติ คือสภาพธรรม หรือ พยายามที่จะไปรู้ว่า อย่างนี้เรียกว่า “กุศล” หรือ อย่างนี้เรียกว่า “อกุศล” แต่ไม่รู้ “ลักษณะ” ที่เป็น “ธรรมะ” คือ เรียกชื่อของสภาพธรรมแต่ไม่รู้ลักษณะที่เป็นสภาพธรรม
ความเป็นสภาพธรรมของสิ่งที่มีจริงๆ นั้น เกิดขึ้นได้ก็เพราะมีเหตุปัจจัย เมื่อเกิดแล้วก็ต้องดับไปทันที โดยมากข้ามการพิจารณาว่า แท้จริงแล้วไม่ว่าจะเป็นอะไรที่เกิดปรากฏ สิ่งนั้นเกิดปรากฏ เพราะมี “ปัจจัย” จึงเกิดขึ้น เมื่อหมดปัจจัยก็ต้องดับไปเป็นปกติธรรมดา และ “ธรรมะ” มีความหลากหลาย เช่น ขณะที่เห็นเกิดขึ้น ขณะนั้นไม่ใช่ขณะที่โลภะความติดข้องพอใจ ถ้ามีความเข้าใจ ก็คือ เข้าใจว่าสภาพธรรมทั้ง ๒ ประเภทนี้ มีความต่างกันคือ รู้จัก “ตัวธรรมะ” ที่ต่างกัน เพราะเหตุว่าการเห็น ก็เป็นสภาพธรรมประเภทหนึ่ง ส่วน โลภะ ก็เป็นสภาพธรรมอีกประเภทหนึ่ง แต่ทั้ง ๒ ประเภทนั้น ล้วนเป็น “ธรรมะ” ทั้งสิ้น แทนที่จะพยายามไปเรียกชื่อ ระบุชื่อ ว่านี่คือเห็นเป็นจักขุวิญญาณ นั่นเป็นโลภะ มีทิฏฐิเกิดร่วมด้วย หรือโลภะที่ไม่มีทิฏฐิเกิดร่วมด้วย ฯลฯ หรือพยายามที่จะไปคิดอะไรๆ แทนที่ ควรจะเข้าใจก่อน ว่า “ธรรมะ” คือ สิ่งที่มีจริงๆ เมื่อปรากฏ ก็ปรากฏโดยมีลักษณะที่ต่างๆ กัน รู้ว่ามี “ลักษณะ” ต่างกันแม้โดยไม่เรียกชื่อ.