เกิดมา ด้วยความไม่รู้ จากโลกนี้ไป ด้วยความไม่รู้แล้วก็ชาติต่อไป ก็ไม่รู้ แล้วก็จากชาติต่อไป ก็ไม่รู้ เหมือนที่แล้วมา แต่ว่าเมื่อไหร่ ชาติไหน ที่มีโอกาสจะได้ฟังพระธรรม เริ่มเข้าใจสิ่งที่มีจริง ก็จะค่อยๆ สะสม เหมือนพระสาวกทั้งหลายในอดีต ท่านก็มาจากไม่เคยเข้าใจสิ่งที่มี จนกระทั่ง ได้ฟังพระธรรม จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง พระองค์ใด เข้าใจขึ้น ค่อยๆ สะสมมากขึ้น
อวิชชา
อวิชชา ความไม่รู้ โมหะ ความเขลา ความหลง ทั้งหมดกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงที่เป็นอกุศลธรรม เป็นรากเหง้าของสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย เป็นสภาพธรรมที่ทำให้หมู่สัตว์ท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏฏ์อย่างไม่มีวันจบสิ้น และเป็นอกุศลเจตสิกที่เกิดร่วมกับอกุศลจิตทุกชนิด เป็นความไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง
แสดงถึงความเป็นจริงของธรรม ถ้าหากไม่มีอวิชชา แล้วก็หมายถึงว่าดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น ถึงความเป็นพระอรหันต์ ผู้ที่เป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสหมดสิ้น ไม่มีอวิชชา เมื่อไม่มีอวิชชาจึง ไม่มีกุศล กับอกุศล เกิดขึ้นอีกเลย ตราบใดที่ยังมีอวิชชา จึงยังเป็นปัจจัยให้มีการทำกุศลกรรม และอกุศลกรรมได้ และเมื่อมีการทำกุศลกรรม และอกุศลกรรม ที่เป็นเหตุแล้ว ก็ย่อมเป็นเหตุให้เกิดผลในภายหน้าได้
เพราะมีอวิชชา คือ ความไม่รู้เป็นเหตุ จึงทำให้มีการกระทำอกุศลกรรมประการต่าง ๆ มากมายมีกายทุจริต เป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรบำเพ็ญ ไม่ควรสะสม ไม่ควรได้เป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นการสะสมเหตุที่ไม่ดี ให้กับตนเอง และเมื่อผลที่ไม่ดีเกิดขึ้น ก็เกิดขึ้นกับตนเองเท่านั้น เพราะอวิชชา จึงกระทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ เมื่อกระทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ก็เป็นการตัดโอกาสแห่งการเกิดขึ้นของกุศลธรรมประการต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน
อวิชชา เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้ความจริง เมื่อว่าโดยองค์ธรรม ได้แก่ โมหเจตสิก ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เกิดกับอกุศลจิตทุกประเภท จะเห็นได้ว่า อกุศลจิตทุกดวง ทุกประเภท เกิดเพราะโมหะ หรือ อวิชชา ซึ่งเป็นความหลง ความไม่รู้ ไม่รู้ว่าอะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล ไม่รู้ว่าอะไรเป็นเหตุที่จะทำให้เกิดผลอะไรในชีวิต เป็นต้น, สาเหตุหลักที่แต่ละบุคคลยังวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์ ก็เพราะยังมีอวิชชาอยู่นั่นเอง เป็นสภาพที่หุ้มห่อไว้ทำให้ไม่รู้ความจริง เมื่อไม่รู้ความจริงก็มืดมน ไม่สามารถที่เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ได้ ในชีวิตประจำวัน อกุศลจิตเกิดมากกว่ากุศลจิต เพราะฉะนั้นแล้ว อวิชชาจึงเกิดกับขณะจิตมากมายอย่างนับไม่ถ้วน เพราะอวิชชา เกิดร่วมกับอกุศลจิตทุกดวง ไม่ว่าจะเป็นขณะที่ยืน เดิน นั่ง หรือนอนก็ตาม
หนทางเดียวที่จะค่อย ๆ ละคลายอวิชชาให้เบาบางลงได้ คือการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง สะสมปัญญาซึ่งความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ ไม่ละทิ้งโอกาสสำคัญในชีวิต นั่นก็คือ การฟังพระธรรม ฟังแล้วต้องมีความจริงใจที่จะประพฤติปฏิบัติตามด้วย และที่สำคัญ อวิชชา จะถูกดับได้อย่างเด็ดขาดไม่เกิดอีกเลย เมื่อได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไกลมาก แต่ทุกคนก็สามารถเริ่มอบรม สะสมปัญญาได้ตั้งแต่ในขณะนี้ กว่าจะถึงวันนั้นได้ ก็ต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้ นั่นเอง.