ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจลักษณะของนามธรรมซึ่งต่างกับรูปธรรม แล้วเวลาที่มีสติสัมปชัญญะ ระลึกลักษณะของนามธรรมเมื่อไร เมื่อนั้นปัญญาจึงจะรู้ว่า สติ ระลึกลักษณะของจิตที่เป็นใหญ่ในการรู้อารมณ์ หรือว่าขณะนั้นมีลักษณะของเจตสิกหนึ่งเจตสิกใด ซึ่งสติกำลังระลึก จึงรู้ในความต่างของสภาพนามธรรม ๒ อย่างนี้
สติระลึกรู้
ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง แล้วก็ยังมีธรรมะหลากหลายมาก มีมากมาย แต่ถึงจะมากมายอย่างไร ก็มีลักษณะของสภาพธรรมะที่ต่างกันเป็น ๒ ประเภท อันนี้คือการเริ่มต้น ที่จะรู้ความต่างว่า สภาพธรรมะที่มีจริงๆ เกิดขึ้นปรากฏ แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ สภาพธรรมะนั้นเป็นส่วน หรือเป็นลักษณะ หรือเป็นประเภทที่เป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นกลิ่น เป็นรส เป็นสี เป็นเย็น เป็นร้อน เป็นอะไรก็แล้วแต่ ลักษณะซึ่งไม่ใช่สภาพรู้ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น สภาพนั้นเป็นรูปธรรม แต่ที่รูปธรรมใดๆ หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะปรากฏ เพราะเหตุว่ามีสภาพรู้ หรือมีธาตุรู้ ซึ่งเป็นลักษณะที่ต่างกับรูปธรรมโดยสิ้นเชิง เพราะเหตุว่ารูปธรรมไม่สามารถจะรู้อะไรได้ จำไม่ได้ คิดไม่ได้ ดีใจไม่ได้ เสียใจไม่ได้ รูปธรรมก็เป็นแต่เพียงลักษณะที่อ่อนหรือแข็งปรากฏได้เมื่อมีการกระทบกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วธาตุรู้สภาพรู้จึงรู้ว่า ลักษณะนั้นสิ่งที่มีที่ปรากฏให้รู้นั้น อ่อนหรือแข็ง แต่ว่าไม่สามารถจะบอกได้ด้วยเห็นว่าสิ่งนั้นอ่อนหรือแข็ง แต่ว่าต้องกระทบสัมผัส เช่นเดียวกับรสต่างๆ เพียงเห็น ก็ไม่รู้ว่า เปรี้ยว หรือหวานหรือ เค็ม แต่ต้องกระทบกับชิวหาปสาท รสนั้นจึงปรากฏกับสภาพที่กำลังลิ้มคือรู้รสนั้น
เพียงแค่ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมซึ่งมีจริง ในชีวิตประจำวันก็ต้องไตร่ตรอง และเข้าใจก่อนว่า ๒ อย่างต่างกัน ในบรรดา ๒ อย่าง รูปธรรมคงจะไม่เป็นที่สงสัย แต่ว่าต้องเข้าใจว่า รวมทั้งรูปที่มองไม่เห็นด้วย เพราะบางคนคิดว่า รูปหมายความถึงเฉพาะสีสันวัณณะรูปภาพต่างๆ ที่เรามองเห็นด้วยตาจึงจะเป็นรูป แต่ว่าในทางพระพุทธศาสนากว้างขวางกว่านั้น แม้ว่ามองไม่เห็นเลย แต่ว่าเมื่อไม่ใช่สภาพรู้ ก็เป็นรูปธรรม ส่วนนามธรรมซึ่งเป็นธาตุรู้ หรือสภาพรู้ ก็จะมีลักษณะที่ต่างกันออกไปเป็น ๒ อย่าง คืออย่างหนึ่งเป็นสภาพที่เป็นใหญ่ เป็นประธาน ในการรู้ลักษณะของอารมณ์ที่ปรากฏทางหนึ่งทางใด เช่น ขณะนี้ที่กำลังเห็น เห็นเดี๋ยวนี้เองเป็นสภาพธรรมะที่สามารถเห็น เป็นใหญ่ในการเห็น สามารถเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม ลักษณะละเอียดมากน้อยสีสันใกล้เคียงกันอย่างไรก็ตาม แต่จิตที่เห็น สามารถที่จะเห็นแจ้งในลักษณะนั้น เท่านั้นเอง แต่ว่าส่วนเวลาที่จิตเห็นจะเกิดขึ้น ก็จะต้องมีสภาพนามธรรมอีกชนิดหนึ่งเกิดขึ้นร่วมกัน ปรุงแต่งอาศัยกันและกันเกิดขึ้น สภาพนามธรรมที่ต้องเกิดกับจิตทุกครั้งที่จิตเกิด คือ เจตสิก เป็นสภาพที่เกิดกับจิต แต่ไม่ได้เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งลักษณะของอารมณ์
เมื่อพูดถึงสติปัฏฐาน จะมีคำว่าจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน เพราะเหตุว่าในขณะนั้นพิจารณารู้ในธาตุซึ่งเป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้อารมณ์ทางหนึ่งทางใด เช่นในขณะที่เห็น ขณะนี้ก็เป็นใหญ่เป็นประธานในการเห็น ขณะที่ได้ยิน ขณะที่จิตได้ยินเสียง เป็นใหญ่เป็นประธานในการได้ยิน เพราะว่าขณะนั้นจะไม่มีสภาพธรรมะอื่น ถ้าสติระลึก ก็จะมีธาตุรู้ หรือสภาพรู้ซึ่งเป็นใหญ่ในการรู้ ลักษณะของเจตสิกจะไม่ปรากฏ ในขณะที่สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการได้ยิน แต่ว่าเวลาที่เกิดความรู้สึกเจ็บทางกาย ขณะนั้นไม่ใช่สภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ แต่ว่าเป็นสภาพที่เป็นใหญ่ในการรู้สึกเป็นอารมณ์ จะดีใจ เสียใจ สุข ทุกข์ ก็เป็นสภาพที่เป็นใหญ่อีกลักษณะหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ลักษณะของจิตซึ่งเป็นธาตุที่เป็นใหญ่ในการรู้ อารมณ์
ด้วยเหตุนี้จึงต้องเป็นผู้ที่เข้าใจลักษณะของนามธรรมซึ่งต่างกับรูปธรรม แล้วเวลาที่มีสติสัมปชัญญะ ระลึกลักษณะของนามธรรมเมื่อไร เมื่อนั้นปัญญาจึงจะรู้ว่า สติ ระลึกลักษณะของจิตที่เป็นใหญ่ในการรู้อารมณ์ หรือว่าขณะนั้นมีลักษณะของเจตสิกหนึ่งเจตสิกใด ซึ่งสติกำลังระลึก จึงรู้ในความต่างของสภาพนามธรรม ๒ อย่างนี้
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เพียงแต่ว่าเราได้ยินชื่อ ว่าจิตมีราคะ สราคะจิตตัง ก็ให้รู้ แต่เมื่อรู้ลักษณะที่เป็นใหญ่ คือ เป็นสภาพที่เป็นใหญ่ในการรู้ เป็นธาตุรู้ แล้วแต่ว่าธาตุรู้นั้น จะมีลักษณะอย่างไร ต่างกันอย่างไร เพราะว่าบางครั้งบางคราวก็มีลักษณะที่ติดข้องพอใจในอารมณ์ที่ปรากฏ ถึงแม้ว่าจะเป็นสภาพที่ติดข้อง แต่ลักษณะของจิตซึ่งเป็นธาตุรู้ ซึ่งเป็นใหญ่ในขณะนั้นต่างกับธาตุรู้ขณะอื่น ซึ่งไม่มีลักษณะของความติดข้องเกิดร่วมด้วย ผู้นั้นจึงสามารถที่จะรู้ว่า ขณะนั้นสติกำลังระลึกลักษณะของธาตุรู้ ซึ่งเป็นจิต แต่ว่าธาตุรู้ซึ่งเป็นจิตในขณะนั้นต่างกับธาตุรู้ซึ่งเป็นจิตในขณะอื่น ไม่เหมือนกัน เพราะว่าจิตก็มีหลายประเภท
ปัญญาที่ศึกษาลักษณะของสภาพธรรมะที่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมะจริงๆ จึงตรง เมื่อระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมใด ก็รู้ในลักษณะของสภาพนามธรรมนั้น แล้วก็ถ้าเป็นการระลึกรู้ลักษณะสภาพของจิต จะเห็นความเป็นใหญ่ เป็นมนินทรีย์ในการรู้อารมณ์ ซึ่งต่างกับลักษณะของเจตสิกอื่นๆ
จิตเป็นสภาพรู้ แต่เวลาที่มีโลภเจตสิกเกิดร่วมด้วย ก็ปรุงแต่งให้จิตนั้นเป็นจิตที่เกิดร่วมด้วยกับโลภะ เป็นจิตอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งมีสภาพของการติดข้องในอารมณ์ เกิดเพราะเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย เจตสิกเป็นสภาพที่ปรุงแต่งเพราะเกิดกับจิต ทำให้จิตนั้นมีลักษณะประเภทที่ต่างกับจิตอื่น จิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งอารมณ์.