ศีลเป็นเครื่องมือ ไม่ใช่โซ่ล่าม ศีลที่แท้จริงต้องมาจากปัญญา
ปัญญา คือ มีสติเห็นทันกิเลสที่มายั่วยวน-ชวนเรา แล้วเราไม่ไปเล่น ไม่ไปวิ่งตามหรือไปยึดติดกับราคะ ตัณหา กิเลสนั้น
* หนีออกมาได้ทัน…
มีสติตื่นรู้ หลุดออกมาเป็นผู้ดู ผู้รู้ รู้แจ้ง เห็นแจ้ง ไม่ลงไปเล่นกับละครมายาที่มาหลอกเรา ให้เราหลง(โมหะ)
…วีระ วศินวรรธนะ

“การรู้ โดยไม่คิดเอง
คือ การเดินวิปัสสนาที่ละเอียดที่สุด
ตราบใดที่ยังเห็นว่า…จิต คือตัวเรา เป็นของของเราที่ต้องช่วยให้จิตหลุดพ้น
ตราบนั้น…ตัณหา หรือสมุทัย ก็จะสร้างภพของจิตว่างขึ้นมา…ร่ำไป
ขอย้ำว่า ขั้นนี้ จิตจะดำเนินวิปัสสนาเอง ไม่ใช่ ผู้ปฏิบัติจงใจกระทำ
ดังนั้น…จึงกล่าวได้ว่า ไม่มีใครเลยที่จงใจ หรือตั้งใจบรรลุมรรคผลนิพพานได้
มีแต่…จิต เขาปฏิบัติตนเองไป เท่านั้น
เมื่อจิตทรงตัว รู้…
แต่ไม่คิดอะไรนั้น บางครั้ง จะมีบางสิ่งผุดขึ้นมา สู่ภูมิรู้ของจิต
แต่จิต ไม่สำคัญมั่นหมายว่า…มันคือ อะไร
เพียงแค่รู้…เฉยๆ ถึงความเกิด-ดับนั้น เท่านั้น
ในขั้นนี้…
เป็นการเดินวิปัสสนา ขั้นละเอียดที่สุด
ถึงจุดหนึ่ง จิตจะก้าวกระโดดต่อไปเอง
การเข้าสู่มรรคผลนั้น…
รู้…มีตลอด แต่ไม่คิด และไม่สำคัญมั่นหมาย
ในสังขารละเอียด ที่ผุดขึ้นมานั้น
เมื่อจิตถอยออกจากอริยะมรรค
และอริยะผล ที่เกิดขึ้นแล้ว ผู้ปฏิบัติจะรู้ชัดว่า ธรรมเป็นอย่างนี้
“สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นต้องดับไป”
ธรรมชาติบางอย่าง มีอยู่…
แต่ก็ไม่มีความเป็นตัวตน สักอณูเดียว
นี้เป็นการรู้ธรรมในขั้นพระโสดาบัน
คือ ไม่เห็นว่า…
สิ่งใดสิ่งหนึ่ง แม้แต่…ตัวจิตเองว่า…เป็นตัวเรา
_____________________________________
หลวงปูดุลย์ อตุโล.
