อวิชชา เป็นสภาพที่มืด ทำให้ไม่รู้ความจริง ไม่เห็นว่าอกุศลเป็นอกุศล และก็ไม่เห็นหนทางที่ถูก ที่ชอบ ที่ควรจะกระทำ เพราะฉะนั้น ก็ทำให้ คิดก็คิดผิด ทำก็ทำผิด พูดก็พูดผิด แต่ว่าถ้าในขณะใดที่ปัญญาเกิดขึ้น ขณะนั้นเห็นอกุศล แล้วก็ยังเห็นความน่ารังเกียจของอกุศล เห็นโทษของอกุศลตามความเป็นจริง
ทุกข์ใจเกิดจากอะไร
บางท่านเข้าใจว่าทุกข์ใจเกิดจากความคิดถ้าไม่คิดก็ไม่ทุกข์ แล้วพยามที่จะไม่คิด เพาะไม่รู้ว่าความคิดต่างๆ นั้นเกิดจากอะไร รวดเร็วขนาดไหน ขณะที่เห็นสิ่งที่ไม่ถูกใจ ก็ทุกข์แล้ว ยังไม่ทันที่จะคิดเป็นเรื่องอะไร แต่ก็คิดแล้ว แล้วจะไม่ให้คิดซึ่งเป็นไปไม่ได้ นอกจากเจริญฌาณจิต ถึงขั้นปฐมฌาณขึ้นไปซึ่งเป็นเรื่องยาก แต่ก็ไม่ได้ดับกิเลสใดๆ และลืมไปว่า ความคิดมีทั้งที่เป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี ซึ่งความคิดที่เป็นกุศลเป็นหนึ่งในมรรคมีองค์ ๘ ฉนั้นการที่จะไม่ทุกข์ด้วยความไม่คิดนั้นจึงไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง
การที่จะไม่ทุกข์ใจ ต้องเข้าใจว่าทุกข์ใจคืออะไร ทุกข์ใจ คือ จิต เจตสิก ที่เกิดขึ้น อันเป็นอกุศลจิต เป็นจิตที่ไม่ดี เป็นโทสะมูลจิต ที่มีความรู้สึกที่เป็นโทมนัสเวทนา จึงทำให้เกิดความรู้สึกทุกข์ใจ ดังนั้นเพราะมีกิเลส คือโทสะอยู่ จึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดความทุกข์ใจ ความทุกข์ใจจึงไม่ใช่ผลของกรรม (ขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส เป็นผลของกรรม) แต่ความทุกข์ใจ เป็นอกุศลจิตที่เป็นกิเลส ที่เกิดได้ สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ผู้ที่จะไม่ทุกข์ใจ คือ พระอนาคามี เพราะท่านดับโทสะหมดแล้ว จึงไม่เป็นเหตุปัจจัยให้ทุกข์ใจเลย ดังนั้น สำหรับปุถุชน ผุ้ประสบกับสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา พบกับความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก อันเกิดจากภัยธรรมชาติ ที่จะไม่ทุกข์ใจ คงเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ว่าจะทุกข์ใจมาก หรือ น้อยในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทุกข์ใจไม่จำเป็นจะต้องถึงกับร้องไห้เศร้าโศก เพียงความไม่ชอบใจ ไม่สบายใจเพียงเล็กน้อยก็ทุกข์ใจแล้ว แสดงให้เห็นถึงความละเอียดของกิเลส หากไม่มีปัญญาก็จะไม่รู้เลยว่ากิเลสเกิดขึ้นแล้ว ส่วนบางคนทุกข์ใจมาก ทุกข์ใจน้อย ก็แตกต่างกันได้ ตามการสะสมความคิดของแต่ละบุคคล ผู้ที่เข้าใจความจริงของโลก ความเป็นไปธรรมดา ก็ย่อมทุกข์ใจน้อยกว่า ผู้ที่ไม่เข้าใจ ไม่มีปัญญา เพราะผู้ที่มีปัญญาย่อมคิดถูกต้อง ถึงความไม่เที่ยง และเป็นธรรมดาที่จะต้องเป็นไปอย่างนั้น ส่วนผู้ที่ไม่เข้าใจ และติดข้องมากๆในสิ่งต่างๆก็เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดโทสะ ความไม่สบายใจ ทุกข์ใจมากด้วย
ทุกข์มีได้เพราะมีกิเลส ความรัก ความผูกพันก็เป็นกิเลส เพราะฉะนั้น มีรัก ติดข้องเมื่อใด ก็มีทุกข์ได้เป็นธรรมดา ผู้ที่ไม่มีทุกข์ คือ ผู้ที่ไม่รัก ไม่ติดข้อง สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“ความโศกย่อมเกิดแต่ของที่รัก ภัยย่อมเกิดแต่ของที่รัก ความโศกย่อมไม่มีแก่ผู้ปลดเปลื้องได้จากของที่รัก ภัยจักมีแต่ที่ไหน ความโศกย่อมเกิดแต่ความรัก ภัยย่อมเกิดแต่ความรัก ความโศกย่อมไม่มีแก่ผู้พ้นวิเศษแล้วจากความรัก ภัยจักมีแต่ที่ไหน ความโศกย่อมเกิดแต่ความยินดี ภัยย่อมเกิดแต่ความยินดี ความโศกย่อมไม่มีแก่ผู้พ้นวิเศษแล้วจากความยินดี ภัยจักมีแต่ที่ไหน”
ผู้ที่มีรักหนึ่งก็ต้องทุกข์หนึ่ง มีรักร้อยก็ทุกข์ร้อย ตามหลักธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนา แสดงไว้ว่า ความรัก ความติดข้องความยินดีพอใจ เป็นโลภะ เป็นอกุศลธรรม เป็นกิเลสตัณหา เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิตใจ ไม่ใช่เพียงแค่ความรักของหนุ่มสาวเท่านั้น ความรักพี่น้อง รักเพื่อน หรือ ความติดข้องยินดีพอใจในกามคุณ ๕ กล่าวคือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย) ก็เป็นโลภะ เป็นตัณหาเหมือนกัน และที่สำคัญ ตัณหา เป็นต้นเหตุของทุกข์ทั้งปวง เพราะมีรัก เมื่อยังไม่พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ก็เพิ่มโลภะมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าผิดหวัง หรือ พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ก็เป็นเหตุแห่งทุกข์ นำมาซึ่งความเศร้าโศกเสียใจ เมื่อกล่าวโดยรวมแล้ว ทุกข์ที่เกิดขึ้นก็เพราะยังมีตัณหา เมื่อดับตัณหาเสียได้ ทุกข์ย่อมถูกดับไปด้วย
โลภะ (ความติดข้อง) เกิดขึ้นเมื่อใด ย่อมทำให้ไม่เห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะขณะที่โลภะเกิด ย่อมมีโมหะ (ความไม่รู้) เกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ทำให้คิดไปในทางที่ผิด การพูดก็ผิด การกระทำก็ผิด ทำให้ไม่รู้ว่าสิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร ไม่รู้ว่าสิ่งใดมีโทษ สิ่งใดไม่มีโทษ ไม่รู้ว่าสิ่งใดมีประโยชน์ สิ่งใดไม่มีประโยชน์, ขณะที่อกุศลจิตเกิด จึงไม่นำมาซึ่งประโยชน์ใด ๆ เลย ทำให้ไม่รู้ความจริง แต่โดยนัยตรงกันข้ามเมื่อปัญญาเกิด ย่อมเห็นตามความเป็นจริง
บุคคลผู้ที่เข้าใจตามความเป็นจริงว่ากิเลสเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ แล้วก็ใคร่ที่จะละคลายกิเลสลง ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ไม่ละเลยโอกาสของการเจริญกุศลทุก ๆ ประการ สะสมอุปนิสัยในการอบรมเจริญปัญญาเป็นปกติทุก ๆ วันเพื่อละคลายกิเลสของตนเอง บุคคลประเภทนี้ เป็นบัณฑิต ควรอย่างยิ่งที่จะเป็นอย่างนี้ ด้วยเห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในแนวทางที่ถูกต้อง สะสมความเข้าใจถูกต่อไป เพราะคนอื่นหรือทรัพย์สมบัติ ไม่ใช่ที่พึ่่งที่แท้จริงในชีวิต ไม่ใช่สิ่งที่จะติดตามไปในภพหน้าได้ แต่ความดี และปัญญาที่สะสมไว้ตั้งแต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่เท่านั้นที่จะสะสมเป็นที่พึ่งต่อไปในภายหน้า
นี่แสดงให้เห็นถึงความเป็นธรรมดาของความทุกข์ที่จะต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดาในชีวิตประจำวันที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ในความเป็นปุถุชนที่ยังหนาด้วยกิเลสและเต็มไปด้วย ความติดข้องที่เป็นโลภะ อันเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์และเพราะมีอวิชชา ความไม่รู้จึงต้องมีการเกิดและต้องทุกข์กายและใจเป็นธรรมดา ดังนั้น จึงไม่ใช่การบอกวิธีให้ทำใจหายจากทุกข์ได้ทันที แต่ต้องเข้าใจความจริงที่เกิดแล้วว่าทุกข์มีจริง
ประโยชน์ที่จะคลายโศก ทุกข์ใจจริงๆ คือ การแก้ที่ต้นเหตุ คือ เหตุคือ กิเลสประการต่าง ๆ ที่มีอยู่ในใจ ที่ทำให้เกิดความรัก มีโลภะ เป็นต้น เป็นเหตุให้ทุกข์ใจ การแก้ที่ต้นเหตุ คือ อบรมธรรมฝ่ายตรงกันข้ามที่จะละกิเลส คือ ละโลภะได้ด้วยการเจริญปัญญา ศึกษาพระธรรมของพระพุทธเจ้า แต่ต้องไม่ลืมว่า กิเลสมีมากและสะสมมาเนิ่นนาน จะให้หายทุกข์ใจ ทำใจได้ทันทีคงเป็นไปไม่ได้ เพราะปัญญามีน้อยมาก ต้องค่อยๆ สะสมไป แต่การเริ่มจากเหตุที่ถูก ในการจะละความทุกข์ได้จริง ดีกว่า ประเสริฐกว่าการจะทำให้ทุกข์หายไปทันทีด้วยเพียงการปลอบใจอย่างชาวโลก เพราะเดี๋ยวก็ต้องทุกข์อีกแน่นอน แต่ผู้ที่เริ่มสะสมเหตุที่ถูกคือการอบรมปัญญา แม้จะทุกข์บ้างเป็นธรรมดาของปุถุชน แต่ก็ค่อย ๆ ละทุกข์ได้ทีละน้อยด้วยปัญญา และในที่สุดวันหนึ่งก็ละทุกข์ได้จริง ๆ ดังนั้นในพระพุทธศาสนา จึงทำใจไม่ได้ เพราะบังคับให้เป็นไปตามต้องการ ไมได้ แต่ค่อย ๆ เข้าใจความจริงได้
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑- หน้าที่ 359
[๒๗๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ผู้มีทุกข์นั่นแหละ จึงมีความเพลิดเพลิน ผู้มีความเพลิดเพลินนั่นแหละ จึงมีทุกข์ ภิกษุย่อมเป็นผู้ไม่มีความเพลิดเพลินไม่มีทุกข์ ท่านจงรู้อย่างนี้เถิด ผู้มีอายุ”