สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ มีทั้งกุศล มีทั้งอกุศล มีทั้งสิ่งที่ไม่ใช่ทั้งกุศลไม่ใช่ทั้งอกุศล ให้รู้ว่าไม่ใช่เรา สำคัญที่สุดคือเข้าใจถูกต้องว่าธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่มีเรา
ชีวิตเป็นไปตามการสะสม
ทุกชีวิต เป็นการเกิดขึ้นของสภาพธรรม คือ จิต สภาพธรรมที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ เจตสิก สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต และรูป สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร ซึ่งไม่มีใครจะสามารถยับยั้งได้เลย ในชีวิตประจำวันก็จะเห็นได้ว่ากิเลส หรือ อกุศลธรรม เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของกิเลสและอกุศลธรรมนั้น ๆ อยู่ตลอดเวลาที่วิบากจิต หรือ กุศลจิตไม่เกิดขึ้น นี้คือความจริง แสดงให้เห็นว่า ปุถุชนมักจะตกไปจากกุศลจริง ๆ ขณะใดที่กุศลจิตไม่เกิด ขณะนั้นกิเลสระดับขั้นต่าง ๆ เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ขณะที่จิตเป็นกุศลเท่านั้น ซึ่งคั่นกิเลสในชีวิตประจำวันชั่วครั้งชั่วขณะ กล่าวคือ ขณะที่เป็นไปในทาน เป็นไปในศีล เป็นไปในความสงบของจิต หรือเป็นไปในการอบรมเจริญปัญญา ซึ่งเกิดน้อยมากในชีวิตประจำวัน
บุคคลที่ได้สะสมความคิดถูก ความเห็นถูก ความเข้าใจสภาพธรรมอย่างถูกต้อง บุคคลนั้นจะคิดไม่ดีไม่เป็น คิดใส่ร้ายคนอื่นไม่เป็น คิดประทุษร้ายเบียดเบียนผู้อื่นไม่เป็น แต่จะคิดในทางทีดีที่ถูกที่ควร คิดที่จะมีเมตตา เห็นใจคนอื่นซึ่งเป็นผู้ที่มีกิเลสด้วยกัน คิดเกื้อกูลกันและกัน และเห็นใครทำดี ก็ชื่นชมสรรเสริญ เป็นต้น แต่ถ้าไม่ได้สะสมเหตุที่ดีมา ไม่เห็นประโยชน์ของกุศลธรรม ก็จะคิดในทางตรงกันข้าม คิดในทางที่เป็นอกุศล ซึ่งขณะนั้นก็เบียดเบียน ทำร้ายตนเอง นั่นเอง ซึ่งไม่ควรเลยที่จะเป็นอย่างนี้
เมื่อมีชีวิตที่เกิดขึ้นเป็นไป มีกาย วาจา และ ใจ แล้ว ก็ไม่ควรที่จะมีไว้เพื่อพอกพูนอกุศลให้มากขึ้น แต่ควรที่จะเป็นไปในทางที่จะทำให้กุศลธรรมเจริญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือเห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง สะสมความเข้าใจไปตามลำดับ เมื่อความเข้าใจเจริญขึ้น ความเข้าใจนี้แหละ จะเป็นเครื่องนำทางชีวิตที่ดี เป็นเครื่องคอยเตือนว่า สิ่งไหนควรทำ และสิ่งไหนไม่ควรทำ เป็นอุปนิสัยที่ดีต่อไปในภายหน้า.