พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไม่สาธารณะกับทุกคน ต้องคนที่เคยสะสมบุญไว้แล้วในปางก่อนจึงจะสนใจฟังธรรมะ เปรียบเหมือนเสียงในโลกนี้มีเป็นพันๆเสียง แต่มีเสียงพระธรรมเท่านั้นที่ทำให้รู้ความจริงว่าธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร
ความเชื่อกับความเป็นจริง
พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นเรื่องที่ยาก ละเอียดลึกซึ้ง ดังนั้น การอบรมปัญญาจึงต้องเป็นไปตามลำดับขั้น คือ เริ่มจาก ปริยัติ การฟังพระธรรมให้เข้าใจ ซึ่งต้องใช้เวลาและอบรมยาวนาน เมื่อมีความเข้าใจพระธรรมแล้ว ปัญญาขั้นการฟังนั่นเองที่จะเป็นปัจจัยให้เกิดการปฏิบัติที่ถูกต้องคือ การเกิดสติ และปัญญารู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ และจนถึงที่สุด คือ ปฏิเวธ การบรรลุธรรม ถึงการตรัสรู้ ที่สำคัญ เมื่อเราพูดถึงความจริงที่ควรรู้ คือสภาพธรรมที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ดังนั้น ไม่ว่าจะใช้ชื่อศาสนาใด ความเชื่อ ลัทธิอะไรก็ตาม สัจจะความจริง คือ สภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ไม่ว่าสภาพธรรม เช่น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น สี กลิ่น รส คิดนึก เป็นความจริงที่มีอยู่ ไม่ว่าใคร ศาสนาใด บุคคลใด ก็มีความจริงเหล่านี้ ดังนั้น การจะตรัสรู้สัจจะ ความจริง คือ เข้าใจความจริงในขณะนี้ การตรัสรู้ จึงเป็นสัจจะ โดยไม่ใช่การคิดนึกโดยการใช้อุบาย เพราะอุบาย คือ ทางแห่งความสำเร็จในพระพุทธศาสนา คืออาศัยการฟังพระธรรมในเรื่องสภาพธรรมที่มีจริง เพื่อเข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้นั่นเอง การตรัสรู้สัจจะ จึงต้องอาศัยการฟังพระธรรมอย่างยาวนาน และไม่ใช่เรื่องการคิดนึก แล้วจะเข้าใจได้ ต้องเป็นปัญญาที่รู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นลัทธิ ศาสนาใด สัจจะไม่เปลี่ยนแปลง คือต้องเข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระมหากรุณาต่อสัตว์โลกทั้งปวง เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ทรงแสดงพระธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้โปรดเวไนยสัตว์ ตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษา สิ่งที่พระองค์ทรงแสดง ก็ไม่พ้นไปจากสิ่งที่มีจริง ๆ ในขณะนี้ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ ทรงพร่ำสอนอยู่บ่อยๆ เนืองๆ ก็เพื่อให้ผู้ฟังมีความเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง พร้อมทั้งน้อมประพฤติปฏิบัติตาม ในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม จนกระทั่งถึงความเป็นผู้หมดจดจากกิเลสได้ในที่สุด
จึงเห็นได้ว่า สิ่งที่เป็นที่พึ่งที่แท้จริงในชีวิต คือพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งจะทำให้ผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษามีความเข้าใจตามความเป็นจริง เป็นไปเพื่อการเจริญขึ้นของปัญญา เพื่อขัดเกลากิเลสจนหมดสิ้น ไม่ได้เป็นเพียงความเชื่อที่เชื่อตามๆ กันมา โดยขาดความรู้ความเข้าใจตามหลักเหตุผล ตามความเป็นจริง ถ้าไม่ได้อาศัยพระธรรม ไม่มีการอบรมเจริญปัญญาแล้ว สังสารวัฏฏ์ก็จะดำเนินไปอย่างไม่มีวันจบสิ้น ดังนั้น จึงต้องเริ่มสะสม อบรมเจริญปัญญา ด้วยตนเอง เห็นประโยชน์สูงสุดของปัญญา เพิ่มพูนความเข้าใจถูกเห็นถูกขึ้นไปตามลำดับ.