“ ภิกษุทั้งหลาย เมื่อดวงอาทิตย์อุทัยอยู่ ย่อมมีแสงอรุณขึ้นมาก่อนเป็นบุพนิมิต ฉันใด ความมีกัลยาณมิตรก็เป็นตัวนำ เป็นบุพนิมิต แห่งการเกิดขึ้นของอริยอัษฎางคิกมรรค ฉันนั้น ”
“ ภิกษุทั้งหลาย เมื่อดวงอาทิตย์อุทัยอยู่ ย่อมมีแสงอรุณขึ้นมาก่อนเป็นบุพนิมิต ฉันใด การทำในใจโดยแยบคายก็เป็นตัวนำ เป็นบุพนิมิต แห่งการเกิดขึ้นของอริยอัษฎางคิกมรรค ฉันนั้น
พระพุทธเจ้าทรงแสดงถึงปัจจัยสองประการสำคัญ อันเป็นเครื่องยังให้เกิด “สัมมาทิฏฐิ” ความเห็นถูกตรงตามจริง
ปัจจัยสองประการนั้นคือการชักนำโดยผู้อื่น หรือกัลยาณมิตรและการทำในใจโดยแยบคาย หรือโยนิโสมนสิการ
เงื่อนไขหรือปัจจัยประการแรก มักปรากฏในนามของการเสวนากับสัตบุรุษ หรือการมีกัลยาณมิตร ซึ่งจัดว่าเป็นปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมภายนอก ในขณะที่ปัจจัยประการที่สอง เป็นปัจจัยส่วนบุคคลหรือปัจจัยภายใน พระพุทธองค์ทรงเน้นย้ำถึงความสำคัญของปัจจัย หรือบุพภาคแห่งอริยมรรคนี้เสมอ
ความมีมิตรดีสำคัญที่สุด
พระอานนท์กราบทูลพระพุทธองค์ว่า ความเป็นผู้มีมิตรสหายดีเท่ากับเป็นครึ่งหนึ่งของพรหมจรรย์ทีเดียว …
จริงหรือไม่ ?
พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนอานนท์ เธออย่าได้กล่าวอย่างนั้น ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดีนี้เป็นพรหมจรรย์ทั้งหมดทีเดียว ดูก่อนอานนท์ ภิกษุผู้มีมิตรดี พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ จักทำให้มาก ซึ่งอริยมรรคมีองค์ ๘
ดูก่อนอานนท์ ภิกษุผู้มีมิตรดี ย่อมเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ อย่างไร ? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิ สัมมากังกัปปะ สัมมาวาจา … อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธน้อมไปในการสละ ด้วยว่าสัตว์ผู้มีชาติเป็นธรรมดา ผู้มีชราเป็นธรรมดา ผู้มีมรณะเป็นธรรมดา ผู้มีโศกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส เป็นธรรมดา ย่อมพ้นไปจาก ชาติ ชรา มรณะ โศกะ ปริเวทะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส เพราะอาศัยเราผู้เป็นกัลยาณมิตร …”
อุปัฑฒสูตร มหา. สํ. (๔-๗)