ความเข้าใจพระธรรม รักษาให้พ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ความเข้าใจในขณะนี้ ก็เพิ่มพูนมาจากการได้เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย ผู้มีปัญญา ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกมาแล้ว จึงทำให้ชาตินี้ เป็นผู้เห็นประโยชน์ของปัญญา สนใจที่ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกต่อไป เมื่อฟังพระธรรมต่อไปบ่อย ๆ เนือง ๆ ปัญญาก็จะค่อย ๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ
เรื่องของปัญญา
ความแตกต่างกันของแต่ละสิ่ง แต่ละอย่าง แต่ละประเภท ทุกอย่างมีเหตุทั้งสิ้น ซึ่งก่อนอื่นเมื่อพูดถึงเรื่องของ ความฉลาดที่เป็นปัญญา ก็ต้องแยกระหว่างปัญญาทางโลกและทางธรรมก่อน
ปัญญญาทางโลก ก็คือ ความฉลาดที่คิดเป็นเหตุเป็นผลความชำนาญในเรื่องราว วิชาการต่าง ๆ นั่นเป็น ความฉลาดทางโลก ที่ไม่ใช่ ปัญญาจริง ๆ ที่เป็นปัญญาเจตสิก เพราะแม้คิดเป็นเหตุเป็นผลในทางโลกได้ แต่ขณะนั้นเป็นอกุศลจิต หรือขณะนั้นไม่ได้ตรงตามความเป็นจริงที่เป็นสัจจะ ดังนั้น ฉลาดด้วย วิตกมนสิการ ด้วย อกุศลจิต มีโลภะ เป็นต้นได้
แต่ความฉลาดที่เป็นปัญญาจริง ๆ ที่เป็นปัญญาเจตสิกคือ ความเห็นถูกตามความเป็นจริง ตามสัจจะของธรรมชาติ เช่น ปัญญาที่เข้าใจในเรื่องกรรมและผลของกรรมปัญญาที่เป็นการอบรมปัญญา เพื่อความเจริญขึ้นของสิ่งที่ดีคือ กุศลอันเป็นปัญญาที่เป็นสมถภาวนา หรือปัญญา คือความเห็นถูกที่เข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ตามความเป็นจริง ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา ดังนั้น ปัญญาความฉลาดที่ถูกต้อง ที่เป็นปัญญาเจตสิก จึงเป็นกุศลธรรม และเป็นการเห็นทุกสิ่งถูกต้องตามความเป็นจริง
เมื่อเราแยก ความฉลาด ปัญญาทางโลก และทางธรรมออกตามความเป็นจริงแล้วก็มาพูดถึงประเด็น ความฉลาด ที่แตกต่างกัน ว่าเกิดจากอะไร ซึ่งจะขอกล่าวถึงความฉลาดทางโลกที่เป็น ความคิดมีเหตุผล ในเรื่องราวของสมมติทางโลก ที่แต่ละคนมีความฉลาดแตกต่างกันเพราะเหตุใด ที่แตกต่างกัน เพราะแต่ละคนสะสมเรื่องราวเหตุผลในวิชา เรื่องนั้นมาแตกต่างกัน ผู้ที่สะสมเรื่องราว ความคิดเป็นเหตุ เป็นผลบ่อยๆ ในอดีต แม้ในอดีตชาติด้วย ก็ทำให้ เป็นผู้มีหลักคิด ฉลาดในเรื่องราวทางโลกได้ดีกว่า มากกว่าผู้ที่ไม่ได้สะสมเรื่องราว การคิดเป็นเหตุ เป็นผลในเรื่องนั้นบ่อยๆ ดังนั้น สำคัญที่สะสมมาไม่เท่ากัน คือ ผู้ที่สะสมสิ่งนั้น ในเรื่องนั้นมาบ่อยกว่า ย่อมจะชำนาญในเรื่องนั้นมากกว่า
บางคนเรียนรู้ได้เร็วกว่า คนที่ฝึกมาตั้งนาน แต่เรามองเพียงชาตินี้ ปัจจุบันนี้เท่านั้น ในความเป็นจริง สัตว์โลกมีการเกิด ตายนับไม่ถ้วน ดังนั้น คนที่เข้ามาเข้ารับงานใหม่ แต่เป็นผู้ฉลาด เรียนรู้ได้เร็ว กว่าคนที่เข้ามานาน ฝึกมานาน เพราะผู้ที่ฉลาด เรียนรู้ได้เร็วนั้น ในอดีตชาติได้มีการอบรมสะสม สิ่งนั้น เรื่องราวนั้น และการคิดด้วยเหตุผลมามากกว่า คนที่ไม่ฉลาด ที่เรียนรู้ได้ช้ากว่านั่นเอง ดังนั้น เหตุผลที่ทำให้มีความฉลาดทางโลกแตกต่างกัน เพราะสะสมเรื่องนั้น วิชาการนั้น ความคิดเป็นเหตุเป็นผลมามากกว่า จึงเป็นผู้ฉลาดในทางโลกมากกว่าผู้อื่น ซึ่งไม่ใช่เพียงชาตินี้ ในอดีตชาตินับไม่ถ้วน ทำให้แต่ละคนมีความถนัด แต่ละอย่างไม่เท่ากัน
ตามที่กล่าวแล้ว คนที่ฉลาดน้อยในทางโลก เพราะสะสมมาน้อยในเรื่องนั้นตามที่กล่าวมา และเมื่อพยายามฝึกฝน ก็ยังน้อยอยู่ดี เพราะเพียงสะสมเพิ่มเพียงชาตินี้เท่านั้น ก็ยังสะสมไม่มาก จึงทำให้ความฉลาดทางโลก ไม่ได้ก้าวกระโดดทันที เพราะเริ่มสะสมไปทีละน้อย ส่วนคนที่ฉลาดอยู่แล้ว ก็ไม่ใช่ว่าจะก้าวกระโดดมาฉลาดทันที แต่เขาสะสมความฉลาด หลักคิด เรื่องราวทางโลกมามากในอดีตชาติ จึงทำให้ฉลาดมาก เมื่อพบกับสิ่งที่เคยเรียนรู้ สะสมมาแล้วก็เรียนรู้ได้เร็ว ไม่ต้องฝึกมากก็เข้าใจได้เร็ว เพราะสะสมมามากแล้วในอดีตชาตินั่นเอง
คราวนี้พูดถึงประเด็น ความแตกต่างของ ปัญญาทางธรรมที่เป็นปัญญาจริงๆ ที่เป็นปัญญาเจตสิก คือ ความเห็นถูกตามความเป็นจริง ทำไมถึงแต่ละคนถึงแตกต่างกัน บางคนมีปัญญามาก มีปัญญาน้อย หรือ ไม่มีปัญญา ทุกอย่างก็ต้องมีเหตุ โดยนัยเดียวกัน ก็เพราะมีการสะสมสิ่งนั้น คือ สะสมความเข้าใจพระธรรม สะสมความเห็นถูกมามากน้อยแตกต่างกันไป
ซึ่งเราก็ต้องเข้าใจก่อนว่า เหตุปัจจัยให้เกิดปัญญา นั้น คืออะไร เหตุให้เกิดปัญญาแสดงหลายนัย ซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม การสอบถาม และการสนทนา เป็นเหตุให้เกิดปัญญา ซึ่งก็ต้องการฟัง การศึกษาในสิ่งที่ถูกต้องคือ พระธรรมที่ถูกต้องด้วย ผู้ที่ในชาตินี้ ฟังพระธรรมเข้าใจได้เร็ว หรือสามารถบรรลุธรรมได้ แสดงว่าเป็นผู้สะสมปัญญามามาก ก็เพราะในอดีตชาติ นับไม่ถ้วน มีการสะสม เหตุของปัญญา คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมและสอบถามสนทนา บ่อยๆ ในอดีตชาติมามากมาย จึงทำให้ชาตินี้มีปัญญามากนั่นเอง ส่วนผู้มีปัญญา ความเข้าใจน้อย ก็เพราะในอดีตชาติ สะสมการฟัง สอบถาม สนทนาในพระธรรมที่ถูกต้อง ยังไม่มาก ก็เป็นเหตุให้ปัญญายังมีไม่มาก ส่วนผู้ที่ไม่ได้สะสมเหตุ คือ การฟังพระธรรมที่ถูกต้องเลย ก็ไม่มีปัญญาที่เป็น ความเห็นถูก แต่สะสมแต่ความเห็นผิด ดังนั้น ปัญญาแตกต่างกันเพราะ สะสมเหตุให้เกิดปัญญา แตกต่างกัน คือ สะสมมามาก ก็มีปัญญามาก สะสมมาน้อยก็มีปัญญาน้อย ไม่ได้สะสมมา ก็ไม่มีปัญญา แต่มีความเห็นผิดอย่างเดียว
ความเฉลียวฉลาดหลักแหลมในทางโลก เป็นศิลปะ ความชำนาญในด้านนั้น ๆ ซึ่งต้องอาศัยความเพียรพยายามในการประกอบสะสมบ่อย ๆ เนือง ๆ เมื่อว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ก็ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของจิตและเจตสิกเลย ความเฉลียวฉลาดในทางโลก ไม่ใช่ปัญญา ไม่ใช่สภาพธรรมที่จะเป็นไปเพื่อการดับกิเลสได้ ต้องเป็นปัญญาในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ถึงจะสามารถดับกิเลสได้ สำหรับปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงนั้น ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เป็นไปเพื่อการดับกิเลสนั้น จะมีขึ้นได้ เจริญขึ้นได้ ต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สนทนา สอบถามจากกัลยาณมิตรผู้ที่มีปัญญา เป็นต้น ซึ่งจะต้องเป็นผู้เคยเห็นประโยชน์ของปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกมาแล้วในชาติก่อนๆ จึงทำให้ เป็นผู้สนใจที่ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกต่อไป เมื่อฟังพระธรรมต่อไปบ่อย ๆ เนือง ๆ ปัญญาก็จะค่อย ๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ.