พระพุทธองค์ทรงแสดงพระธรรม ซึ่งเป็นความจริง เพื่ออนุเคราะห์ให้สัตว์โลกได้มีความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นปัญญาของตนเอง เพราะฉะนั้นแล้ว จะเข้าใจในพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ต้องฟัง ต้องศึกษา ไม่ประมาทในแต่ละคำที่พระองค์ทรงแสดง จึงสามารถมีพระธรรมเป็นที่พึ่ง
เมื่อไรจะมีพระธรรมเป็นที่พึ่ง
การมีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ย่อมเป็นโอกาสที่หาได้ยาก เพราะบุคคลผู้ที่แสดงพระธรรม ตรงตามที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงนั้นหาได้ยากอย่างยิ่ง เมื่อมีโอกาสได้ฟังแล้ว ย่อมเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับชีวิต เพราะเหตุว่าย่อมจะเป็นไปเพื่อความเข้าใจสภาพธรรมทั้งหลายทั้งปวงได้ถูกต้อง ตามความเป็นจริงอันจะเป็นเหตุให้สามารถประจักษ์แจ้งสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ว่าไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ได้จริง ๆ
ในชีวิตประจำวันของบุคคลผู้ที่ยังมีกิเลสนั้น อกุศลย่อมเกิดเป็นส่วนมากกว่ากุศลทั้งความติดข้อง ยินดีพอใจ หรือขุ่นเคือง ไม่พอใจ ในอารมณ์ที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน ย่อมไม่มีทางที่จะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ และเป็นผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลสนานาประการ สังสารวัฏก็จะดำเนินต่อไปอย่างไม่มีวันจบสิ้น กล่าวได้ว่าเป็นผู้ไม่มีที่พึ่ง ดังนั้น จึงต้องตั้งใจฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมต่อไป เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกยิ่งๆ ขึ้น เพราะที่พึ่งจริงๆ คือปัญญา
การที่จะมี พระธรรมเป็นที่พึ่งได้จริงๆนั้น ต้องเข้าใจจริงๆ ก่อนว่า ธรรมะคืออะไร ควรฟังพระธรรมให้เข้าใจ และ คิดไตร่ตรองตามในสิ่งที่ได้ฟังให้เข้าใจจริงๆ จนกว่าจะเป็นเหตุปัจจัยให้สติปัฎฐานเกิด ซึ่งต้องใช้เวลาอบรมยาวนาน เพราะกิเลสมี โลภะ โทสะ โมหะ ที่สะสมมาเนิ่นนานในอดีตอนันตชาติ มากมายสักแค่ไหนกว่าที่ปัญญาจะค่อยๆ ขัดเกลากิเลสที่มีอยู่ให้ค่อยๆ หมดไป จึงต้องอบรมเจริญปัญญา นานแสนนานมาก เป็นจิรกาลภาวนา
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ หน้าที่ 395 คิลานสูตร ว่าด้วยมีตนเป็นเกาะ
[๗๑๑] ดูก่อนอานนท์ เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ จงมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่เถิด.
[๗๑๒] ดูก่อนอานนท์ ก็ภิกษุเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่งไม่มีสิ่งอื่นเป็น ที่พึ่ง คือ มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่.
[๗๑๓] ดูก่อนอานนท์ ก็ผู้ใดผู้หนึ่งในบัดนี้ก็ดี ในเวลาที่เราล่วงไปแล้วก็ดี จักเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ ภิกษุเหล่าใด เป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา ภิกษุเหล่านั้นจักเป็นผู้เลิศ.