( Somboon )
ภิกษุใดรับเงินและทอง ในครั้งพุทธกาล คฤหัสถ์เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา เพ่งโทษให้รู้ว่าเป็นโทษ เพราะนั่นไม่ใช่บรรพชิต ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย ภิกษุในธรรมวินัยสละแล้วเพื่อที่จะศึกษาพระธรรม ซึ่งจะต้องศึกษาพระธรรม ไม่อย่างนั้นจะบวชทำไม
เคารพพระธรรมวินัย
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 320
[๑๔๑] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่าดูก่อนอานนท์ บางทีพวกเธอจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ปาพจน์มีพระศาสดาล่วงแล้ว พระศาสดาของพวกเราไม่มี ข้อนี้พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น ธรรมก็ดี วินัยก็ดีอันใดอันเราแสดงแล้ว ได้บัญญัติไว้แล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาแห่งพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา
โดยนัยแห่งพระพุทธพจน์ดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ชัดเจนว่า พระพุทธองค์มิได้มีพระประสงค์แต่งตั้งพระสาวกรูปหนึ่งรูปใดเป็นศาสดาแทนพระองค์ แต่ให้สาวกของพระองค์ยึดถือคำสอนทั้งในส่วนของพระธรรมและพระวินัยเป็นศาสดาแทน หลังจากที่พระองค์ได้ดับขันธปรินิพพานแล้ว ดังนั้น สงฆ์สาวกของพระพุทธองค์ในรุ่นหลังๆ จึงต้องเคารพพระธรรมวินัย โดยการฟังเชื่อถือและปฏิบัติตามเยี่ยงพระพุทธองค์ดำรงพระชนมชีพอยู่
พระภิกษุทุกรูปทั้งหมดทุกยุคทุกสมัยต้องมีความเคารพในพระวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ ซึ่งจะต้องศึกษาให้เข้าใจแล้วน้อมประพฤติในสิ่งที่ถูกต้องละเว้นในสิ่งที่ผิดที่ขัดต่อความประพฤติเป็นไปของพระภิกษุอันเป็นเพศที่สูงยิ่งทุกประการ
จะเห็นได้ว่า การบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา เป็นเรื่องที่ยากมากและการยินดีในการบวชก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นเดียวกัน เป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่บวชโดยไม่ใช่เพราะขัดเกลากิเลส หรือเพราะเข้าใจธรรม ถ้าหากล่วงละเมิดพระวินัย ไม่ประพฤติตามพระวินัย เป็นผู้ย่อหย่อน ไม่รักษาพระวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ ขาดความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัย ย่อมเป็นผู้มีโทษมากมาย ด้วยการต้องอาบัติ คือ ล่วงละเมิดพระวินัยซึ่งมีโทษโดยส่วนเดียว เมื่อต้องอาบัติแล้วไม่กระทำคืน (คือไม่ได้แก้ไข) ตามพระวินัย ก็เป็นเครื่องกั้นการบรรลุมรรคผลนิพพานและกั้นการไปสู่สุคติด้วย แทนที่จะได้ทำกิจที่ควรทำที่จะเป็นที่พึ่งสำหรับตนเอง แต่กลับไปเพิ่มอกุศล เพิ่มความไม่รู้ เพิ่มเหตุที่ไม่ดีให้กับตนเอง กำลังทำทางที่จะทำให้ตนเองได้รับผลที่ไม่ดีในอนาคตข้างหน้า เมื่อมรณภาพ คือ ตายจากชาตินั้นไปแล้วก็ไปเกิดในอบายภูมิเท่านั้น เป็นบุคคลผู้น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง
สาเหตุที่ทำให้คำสอนของพระเจ้าเสื่อมสลายไปนั้นก็คือ พฤติกรรมของพุทธบริษัท ๔ ดังที่พระพุทธองค์ได้ตรัสแก่พระกิมพิละซึ่งปรากฏในปัญจกนิบาต อังคุตตรนิกาย พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒ ว่า
“ดูก่อนกิมพิละ เมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาในพระธรรมวินัยนี้ ไม่เคารพ ไม่ยำเกรงในพระศาสดา ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ในการศึกษาไม่เคารพยำเกรงในกันและกันนี้ และกิมพิละเป็นเหตุ เป็นปัจจัยที่ทำให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ไม่ได้นาน ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว และโดยนัยแห่งพุทธพจน์นี้ พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้นาน”
พุทธบริษัท ต้องศึกษาธรรมให้เข้าใจถูกต้องเพื่อที่จะดำรงรักษาพระศาสนาไว้ ซึ่งบริษัทหนึ่งบริษัทใดที่ประพฤติผิด ให้ทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่ละคนที่ไม่รู้ ก็กลับส่งเสริมและทำลายพระธรรมวินัยด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจและจริงใจแล้วก็เป็นผู้ตรง แม้แต่ความตรง ความจริงใจและความเข้าใจ ให้ประโยชน์กับตนเองในขณะที่ฟังสามารถที่จะรู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด เพราะนอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วใครจะกล่าวความถูก ความผิด อย่างละเอียดยิ่ง
ภิกษุใดรับเงินและทอง เป็นผู้ไม่เคารพพระธรรมวินัย ในครั้งพุทธกาล คฤหัสถ์เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา เพ่งโทษให้รู้ว่าเป็นโทษ เพราะนั่นไม่ใช่บรรพชิต ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย ภิกษุในธรรมวินัยสละชีวิตแล้วเพื่อที่จะศึกษาพระธรรม ซึ่งจะต้องศึกษาพระธรรม ไม่อย่างนั้นจะบวชทำไม คฤหัสถ์ยังฟังธรรม แต่ก็รู้ว่าไม่บวช เพราะเหตุว่าไม่ได้สะสมมาที่จะขัดเกลากิเลสในเพศของบรรพชิต เพราะฉะนั้น ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา จึงมีทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต ตามอัธยาศัย
แสดงให้เห็นว่าถ้าไม่เข้าใจพระธรรมวินัย ไม่เคารพพระธรรมวินัย จะดำรงพระศาสนาไม่ได้ เพราะฉะนั้น คฤหัสถ์ไม่ใช่เพียงแต่เข้าใจธรรม แต่ต้องเข้าใจพระวินัยด้วย.
