ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง จากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ ก็ทรงแสดงความจริงของธรรมนั้นให้คนอื่นได้มีโอกาสได้รู้ด้วย จากไม่รู้เลย เป็นรู้ขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ตรงตามที่ได้ฟัง จนสามารถดับกิเลสได้ น่าอัศจรรย์ไหม
สิ่งที่มีจริง
พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ เห็นมีจริง ได้ยินมีจริง เสียงมีจริง เป็นต้น แต่เป็นธรรมไม่ใช่เรา (อนัตตา) เพราะฉะนั้น คำสอนใดที่สอนให้เข้าใจความจริง ที่มีจริงในขณะนี้ ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ก็สอนตรงตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ทรงตรัสรู้ และหนทางการจะรู้ความจริง ก็คือ รู้ขณะนี้ ไม่ใช่ขณะอื่น เมื่อธรรมมีจริงในขณะนี้ ก็รู้ความจริงในขณะนี้ ไม่ใช่ไปที่ใดที่หนึ่ง หรือ ไปนั่งสมาธิ เพื่อไปรู้ความจริง เพราะหนทางที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง คือฟังให้เข้าใจ เพราะฉะนั้น การกล่าวพระไตรปิฎก ก็ต้องสอดคล้องทั้งสามปิฎก เมื่อกล่าวว่า “อนัตตา” แล้ว ก็ไม่มีเราจะไปทำสติ ไปปฏิบัติ แต่ปัญญาเจริญขึ้นจากการฟัง ศึกษาพระธรรม นี่คือตรงตามคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ตามพระไตรปิฎก คือ รู้ความจริงในขณะนี้โดยความเป็นอนัตตา
สิ่งที่มีจริง มีจริงในขณะนี้ ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน มีจริงในชีวิตประจำวัน สิ่งที่ขาด คือความเข้าใจถูกเห็นถูก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม คือประกาศความจริง เพื่อให้พุทธบริษัทได้เข้าใจถูกเห็นถูก ตรงตามความเป็นจริงของธรรม ว่ามีจริง ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น คำใดก็ตามที่กล่าวให้เข้าใจความจริง ย่อมเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ควรค่าแก่การฟังการศึกษาเป็นอย่างยิ่ง ผู้มีปัญญา เห็นประโยชน์ของพระธรรม ฟังพระธรรมด้วยความละเอียดรอบคอบ จริงใจ ตรงต่อความจริง ย่อมสามารถแยกแยะได้ว่า คำใดเป็นคำที่แสดงให้เข้าใจถูกเห็นถูก ในสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และ คำใดไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะต้องตรงตั้งแต่คำแรก คือคำว่า ธรรม มีจริง เป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ บุคคลตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้
ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ด้วยความเคารพ ไม่ประมาทในแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อเข้าใจความจริงของชีวิต ไม่ใช่ไปทำอย่างอื่น แล้วหวังว่าจะรู้ความจริง เหตุผลต้องตรงกัน.