ปัญญาสัมมาทิฏฐิ แม้ขั้นการฟังก็มีอุปการะเกื้อกูลให้กุศลธรรมประการต่างๆ เจริญขึ้น เพราะถ้าไม่ฟังพระธรรมให้เข้าใจ ให้มีปัญญาขั้นการฟังแล้ว จะมีปัญญาขั้น ปัฏิปัติ คือถึงเฉพาะสภาพธรรม หรือ สติปัฏฐาน ไม่ได้เลย ไม่ต้องกล่าวถึง อริยมรรค ถ้าขาดความรู้ความเข้าใจ การปฏิบัติก็ผิดตามไปด้วย ดังนั้น ปัญญาจึงเป็นเบื้องต้น ต่อการบรรลุธรรม
สัมมาทิฏฐิ
ความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ถ้าเป็นภาษาบาลี ก็มีหลายคำ คือ ปัญญา, สัมมาทิฏฐิ, วิชชา เป็นสภาพธรรมอย่างเดียวกันคือ ปัญญาเจตสิก ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ปัญญาจะมีได้เจริญขึ้นได้ จนกระทั่งสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสได้ตามลำดับขั้นต้น ต้องมีเหตุที่จะทำให้ปัญญาเจริญ คือ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับการอบรมเจริญปัญญา ไม่จำกัดเฉพาะเพศใดเพศหนึ่งเท่านั้น ขึ้นอยู่กับว่าบุคคลนั้นจะเห็นประโยชน์ของพระธรรม เห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจความจริง มากน้อยแค่ไหน ถ้าไม่มีความเข้าใจอะไรเลย ย่อมไม่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ไม่มีทางที่จะอยู่ใกล้พระนิพพานได้เลย
บุคคลผู้ที่ไม่เข้าใจธรรม ไม่เข้าใจความจริงย่อมเป็นผู้ถูกปกคลุมด้วยอวิชชา (ความไม่รู้) หนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ในเมื่อมีอวิชชามากอย่างนี้ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้สะสมความเข้าใจพระธรรมเลย ก็ไม่มีปัญญาที่จะค่อย ๆ ทำลายอวิชชาลงได้ ปัญญาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องทำลายอวิชชา การที่จะมีการอบรมเจริญสติปัฏฐาน ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง จนสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม บรรลุมรรคผล นิพพาน ได้ ก็เพราะมีปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ต้น ทั้งหมดนั้นก็มาจากพระปัญญาตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงตรัสรู้อริยสัจจธรรมตามความเป็นจริง ทรงดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้นทรงเป็นผู้ตื่นจากกิเลสโดยประการทั้งปวง ด้วยพระปัญญา เมื่อพระองค์ทรงตื่นจากกิเลสแล้ว ก็ทรงปลุกสัตว์โลกให้ตื่นด้วย ด้วยการทรงแสดงพระธรรม เกื้อกูลให้สัตว์โลกได้เข้าใจตามความเป็นจริง ทำให้สัตว์โลกสามารถดับกิเลส ตื่นจากกิเลส ทำลายอวิชชาและกิเลสทั้งหลาย ด้วยปัญญา ตามพระองค์
สัมมาทิฏฐิ เป็นสภาพธรรมได้แก่ ปัญญาเจตสิก คือความเห็นถูก สัมมาทิฏฐิ คือความเห็นชอบ เป็นความเห็นที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นชื่อหนึ่งของปัญญา เพราะฉะนั้น พยัญชนะ แม้ต่างกัน แต่อรรถไม่ต่างกัน คือเป็นความเห็นถูก เห็นชอบ เห็นถูกต้องตามความเป็นจริง ดังนั้น สัมมาทิฏฐิ คือความเห็นชอบ เห็นชอบในอะไร ก็มีหลายระดับ แต่เป็นการเห็นชอบ ตามความเป็นจริง คือเห็นชอบในเรื่องกรรมมี ผลของกรรมมี ก็เป็นปัญญาที่เชื่อกรรม และผลของกรรม ก็เป็นความเห็นชอบประการหนึ่ง จนถึง สัมมาทิฏฐิ ที่เป็นการเห็นตามความเป็นจริง ในสภาพธรรมในขณะนี้ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ซึ่งเป็นการละความไม่รู้ในขณะนั้น
ในอริยมรรคมีองค์ ๘ เริ่มด้วยสัมมาทิฏฐิ คือความเห็นชอบก่อน เพราะหากขาดปัญญาขาดความเห็นถูกแล้ว มรรคองค์อื่นๆ ก็ผิดไปด้วย เพาะมรรคองค์อื่นๆ ย่อมคล้อยตามความเห็น ไม่ว่าจะเป็นถูก คือสัมมาทิฏฐิ หรือผิด คือมิจฉาทิฏฐิ ก็ตาม เพราะมีความรู้ สัมมาทิฏฐิ ตามความเป็นจริงย่อมละความไม่รู้ได้ และค่อยๆ รู้ขึ้นในสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ และที่แสดงสัมมาทิฏฐิก่อน เพราะสภาพธรรมฝ่ายดีประการอื่นๆ ที่เป็นองค์ของมรรคประการต่างๆ จะเจริญไม่ได้เลย หากขาดปัญญา คือสัมมาทิฏฐิ ธรรมคือ ปัญญาที่เป็นสัมมาทิฏฐิ จึงเป็น ธรรมที่มีอุปการะมาก อุปการะเกื้อกูลทำให้สามารถถึงบรรลุธรรมได้
ปัญญา สัมมาทิฏฺฐิ จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมเป็นเบื้องต้น เมื่อปัญญาเจริญขึ้น ปัญญาสัมมาทิฏฐิ แม้ขั้นการฟังก็มีอุปการะเกื้อกูลให้กุศลธรรมประการต่างๆ เจริญขึ้น เพราะถ้าไม่ฟังพระธรรมให้เข้าใจ ให้มีปัญญาขั้นการฟังแล้ว จะมีปัญญาขั้น ปัฏิปัติ คือถึงเฉพาะสภาพธรรม หรือ สติปัฏฐาน ไม่ได้เลย ไม่ต้องกล่าวถึง อริยมรรค ถ้าขาดความรู้ความเข้าใจ การปฏิบัติก็ผิดตามไปด้วย ดังนั้น ปัญญาจึงเป็นเบื้องต้น ต่อการบรรลุธรรม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒- หน้าที่ ๑๘๒
[๑๘๒] ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เราไม่เล็งเห็นธรรมอย่างอื่นแม้ข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญ ไพบูลย์ยิ่ง เหมือนกับสัมมาทิฏฐินี้เลย ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลเป็นผู้มีความเห็นชอบ กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญ ไพบูลย์ยิ่ง.
ความเป็นจริงของธรรมเป็นอย่างไร ย่อมเป็นอย่างนั้น ใคร ๆ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แม้จะมีหลากหลายพยัญชนะที่กล่าวถึงปัญญา รวมถึงสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก ความเห็นโดยชอบด้วย ก็ไม่พ้นไปจากความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เมื่อเป็นธรรม ก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เมื่อปัญญาเกิดขึ้น ก็ทำกิจหน้าที่ของปัญญา คือ เข้าใจถูกเห็นถูก เมื่อปัญญาเจริญขึ้นคมกล้าขึ้น ก็สามารถถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่าง ๆ ดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น กิเลสใดๆ ที่ถูกดับ จะไม่เกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ จากที่มากไปด้วยกิเลส สามารถถึงการดับกิเลสได้ ก็เพราะปัญญาหรือสัมมาทิฏฐินั่นเอง.