Home » ปริยัติและปฏิบัติ

ปริยัติและปฏิบัติ

( Somboon )

by Pakawa

ปฏิบัติ (ปฏิ+ปัตติ) ถึงเฉพาะ สภาพธรรม โดยสติและปัญญา ระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งเราเรียกว่า “การปฏิบัติ” ดังนั้น จึงไม่ใช่ “เรา” ที่จะไปปฏิบัติ แต่เป็นหน้าที่ของสติและปัญญา คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าการปฏิบัติ คือ การที่เราจะต้องทำกิจกรรมอะไรสักอย่าง

#ปริยัติและปฏิบัติ

    ปริยัติ หมายถึงมีความรอบรู้ในพระพุทธพจน์ ทุกคำที่ตรัสหมายถึงสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏขณะนี้ ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมะ เป็นสิ่งที่ควรเข้าใจ ถ้าพูดธรรมะได้มากจำได้มากโดยไม่มีความเข้าใจ นั่นยังไม่ใช่ปริยัติ ท่องได้จำได้ กุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยกตธรรม หรือจำได้ว่า จิตมี ๘๙ เจตสิกมี ๕๒ โดยไม่มีความเข้าใจลักษณะของจิต เจตสิก นั่นก็ไม่ใช่ปริยัติ จิต เจตสิกไม่ได้อยู่ในพระไตรปิฎก แต่มีจริง กำลังปรากฏขณะนี้ เช่น เห็นมีจริง ได้ยินก็มีจริง แข็งมีจริง กลิ่นมีจริงๆ การศึกษาธรรมต้องศึกษาตัวจริงของธรรม ฟังพระธรรมฟังให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ เพราะเมื่อมีความเข้าใจมั่นคง รอบรู้ในพระพุทธพจน์ ย่อมเป็นปัจจัยให้สติปัฏฐานเกิด สติและปัญญารู้ตรงลักษณะสภาพธรรมตามความเป็นจริง
ถ้าเราอ่านตำราอย่างเดียว ยึดติดแต่ตำราอย่างเดียว โดยไม่เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงที่ปรากฏในชีวิตประจำวันของเรา ก็ทำให้เราห่างเหินจากความจริง ถ้าเราเข้าใจความจริง จริงๆ จากสภาพธรรมที่ปรากฏในชีวิตประจำวันของเราแล้ว ก็ตรงกับที่ท่านว่าไว้ ในตำราเป็นเครื่องทดสอบ เราจะไม่พลาด ถ้าเราจะเอาแต่จำได้ ก็เป็นเพียงชื่อ เป็นแต่เพียงเรื่องราว ที่จำแต่ไม่เข้าใจ จึงไม่ใช่ความรอบรู้ในพระพุทธพจน์ ไม่ใช่ ปริยัติ
คำว่า ปฏิปัติ ภาษาบาลีแปลว่า จรดสภาพธรรม หรือถึงเฉพาะ หมายถึง สติและปัญญาถึงเฉพาะสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใด เรียกอีกอย่างหนึ่งคือ สติปัฏฐาน ซึ่งเป็นปัญญาอีกระดับหนึ่งที่สูงกว่าขั้นปริยัติ ภาษาไทยใช้ “ปฏิปัติ” เป็น “ปฏิบัติ” แปลว่าทำ ลงมือทำ พอมีผู้กล่าวว่า “รู้ทฤษฎีแล้วไม่ปฏิบัติก็ไม่มีประโยชน์” ก็เห็นด้วยทันที เพาะคุ้นชินกับคำแปลในภาษาไทย ก็ปฏิบัติธรรมกัน ซึ่งเป็นการเข้าใจที่ผิด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสให้ไปปฏิบัติธรรมกันอย่างคนสมัยนี้ปฏิบัติกัน บางคนคิดว่าไม่มีประโยชน์ที่จะฟังให้เข้าใจ เรื่องเห็น ได้ยิน สิ่งที่ปรากฏทางตา เสียง แข็ง เป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง กำลังปรากฏในชีวิตประจำวัน เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา แต่กลับไปเข้าห้องปฏิบัติเพื่อจดจ้อง หรือทำตามด้วยวิธีการต่างๆ ซึ่งนั่นไม่ใช่ “สัจจญาน” คือความเข้าใจในความจริง ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แต่ผู้ที่มีความเข้าใจ ปริยัติ จะไม่ไปทำสิ่งที่ผิด เพาะไม่มีใครทำอะไรได้เลย ไปทำให้ รู้เห็น รู้แข็ง ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะธรรมเกิดแล้ว ดับแล้ว ตามเหตุปัจจัย สิ่งที่ปรากฏปรากฏโดยความเป็นอนัตตา ไม่มีตัวเราไปปฏิบัติ เพราะฉะนั้นฟังศึกษาให้เข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหนทางเดียวเท่านั้น ฟังจนกว่าไม่คิดที่จะไปทำอะไร มีชีวิตอยู่เพื่อปัญญาปรากฏ จนกว่าปัญญาปรากฏแทนที่อกุศล ซึ่งปัญญานั่นแหละ เป็นตัวปฏิบัติ ไม่มีตัวเราไปปฏิบัติ นี่คือความต่าง
เราจะเข้าใจเรื่องของสติปัฏฐาน เวลาที่สติเกิดที่เป็นไปในทานบ้าง ในศีลบ้าง เราไม่รู้ เพราะว่าไม่ปรากฏ ถ้าเป็นสมถภาวนา ความไม่ใช่ตัวตนก็ไม่ปรากฏ แต่เวลาที่เป็น สติปัฏฐาน หมายความว่า ลักษณะของสติปรากฏ ธรรมดาเรากระทบสิ่งที่แข็ง ทุกคนตอบได้ แข็ง เผ็ด ร้อน หวาน ตอบได้หมด เสียงอะไรก็ตอบได้ เพราะว่าได้ยิน เป็นวิญญาณ แต่ละทาง เช่น จักขุวิญญาณกำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏ โสตวิญญาณกำลังได้ยินเสียง ถ้ามีกลิ่น ก็ฆานวิญญาณกำลังรู้กลิ่น ถ้ากำลังลิ้มรส ชิวหาวิญญาณก็กำลังลิ้มรส ถ้ากระทบสัมผัส กายวิญญาณ เป็นสภาพที่รู้แข็ง ขณะนั้นไม่ใช่สติปัฏฐาน เป็นกายวิญญาณ ที่รู้แข็ง เป็นปกติธรรมดาที่ทุกคนตอบได้ เด็กเล็กๆ ก็ตอบได้ ใครก็ตอบได้ แต่ขณะใดที่สัมมาสติเกิดระลึก ต้องมีการฟังมีความเข้าใจมาก่อนว่า ไม่มีตัวตน แต่มีธาตุหรือสภาพธรรมที่สามารถปรากฏ ถ้าอย่างทางกาย ก็คือลักษณะที่อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว ซึ่งขณะนี้กำลังปรากฏ แต่ว่าปรากฏแล้วผ่านไปเร็วมาก ทางมโนทวารวิถีก็เกิดต่อ เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นคน เป็นอะไรไป แต่ถ้าขณะใดที่เกิดระลึกที่จะไม่ต่อไปเป็นบัญญัติ แล้วก็มีความเข้าใจเล็กๆ น้อยๆ ค่อยๆ เกิดขึ้น ว่าลักษณะนี้ก็เป็นสภาพธรรม โดยไม่ต้องพูด แต่รู้ว่า แข็งมีจริงๆ เป็นสภาพธรรม แล้วลักษณะแข็งก็ไม่ใช่ลักษณะที่รู้แข็ง ขณะนั้นมีสภาพธรรม ๒ อย่างที่แข็งปรากฏ คือ แข็งกับรู้แข็ง
     ขณะนั้นที่รู้ว่า กำลังค่อยๆเข้าใจ เร็วมากสั้นนิดเดียว จะเข้าใจทันทีไม่ได้ แต่ต้องทีละเล็กทีละน้อยที่รู้ว่า ลักษณะรู้คืออย่างนี้ ที่กำลังรู้แข็ง คืออย่างนี้ มีจริงๆ อย่างนี้ นี่คือสติปัฏฐาน แต่ยังไม่ใช่เป็นปฏิเวธ เป็นแต่เพียงการเริ่มที่จะอบรมความรู้ถูก ความเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมซึ่งเคยเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งโน้นสิ่งนี้ แต่รู้ว่า ขณะนั้นเป็นเพียงธรรมแต่ละอย่างซึ่งมีจริงๆ คนนั้นก็จะรู้ว่า ขณะไหนหลงลืมสติ ขณะไหนมีสติ
     นี่เป็นขั้นต้น คือ ต้องรู้ความต่างของขณะที่มีสติกับขณะที่หลงลืมสติ ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะตัวจริงๆ คนอื่นไม่สามารถรู้ได้ว่า ขณะนี้สติของใครระลึกที่ไหนหรือไม่ระลึก สติเกิดหรือไม่เกิด คนนั้นก็รู้เอง แต่ต้องไม่ลืมว่าไม่ใช่เป็นการจดจ้อง.

You may also like

Leave a Comment

ช่องทางติดตามข่าวสาร

Copyright @2024  All Right Reserved – Buddhawisdomfoundation Buddhawisdom

-
00:00
00:00
Update Required Flash plugin
-
00:00
00:00