การศึกษาธรรม ต้องเป็นไปตามลำดับ ความรู้ความเข้าใจขั้นฟัง ไม่สามารถละความเป็นตัวตนได้ และไม่ควรคิดที่จะละความเป็นตัวตน เพราะโลภะจะคอยแทรกและนำให้หลงทางตลอดเวลา ฟังให้เข้าใจในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง เท่านั้น เมื่อเหตุปัจจัยถึงพร้อมให้สติเกิดระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงขณะนั้นก็จะรู้ว่าเป็นเพียงนามธรรมและรูปธรรม ไม่ใช่เรา
ปริยัติศาสนา
คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มี ๓ ระดับ “ปริยัติศาสนา” คือ การศึกษาให้เข้าใจในเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงก่อน เพราะว่าถ้าไม่มีการฟังพระธรรมเลย จะไม่เข้าใจว่าธรรมคืออะไร ธรรมอยู่ที่ไหน ขณะนี้เป็นเราหรือเป็นธรรม แต่ถ้ามีความเข้าใจถูก ก็จะถึงอีกระดับหนึ่ง คือมีปัจจัยที่จะทำให้มีการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่แต่เพียงฟังเรื่องราวของสภาพธรรม ขณะนี้ สภาพธรรมเกิดดับทำหน้าที่ของสภาพธรรมแต่ละประเภท แต่ไม่มีการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม เพียงแต่กำลังฟังให้เข้าใจเรื่องราวของสภาพธรรมเท่านั้น ต่อเมื่อใดมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น เป็นปัจจัย เป็นสังขารขันธ์ ทำให้มีการระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่ฟังที่ศึกษาเข้าใจ แล้วค่อยๆ ศึกษาอีกระดับหนึ่ง คือ อธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา จนกว่าจะประจักษ์แจ้งสภาพธรรมตรงตามที่ได้ศึกษา
ดังนั้น ปริยัติ ปฏิบัติ และ ปฏิเวธ ต้องตรงกัน แยกกันไม่ได้ ใครก็ตามที่ไม่มีปริยัติ ไม่มีการศึกษาให้เข้าใจเรื่องสภาพธรรม แล้วจะปฏิบัติต้องผิด หมายความว่า คนนั้นไม่ได้มีพระธรรมเป็นสรณะ เพราะว่าคิดเอง ไม่ได้ศึกษาพระธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ต้องผิด เพราะว่าไม่มีใครจะมีความรู้ หรือมีความสามารถที่จะเข้าใจธรรมโดยไม่ศึกษาพระธรรม ต้องค่อย ๆ พิจารณาในความสมบูรณ์ของพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ ทั้งในขั้นปริยัติ ปฏิบัติ และ ปฏิเวธ
ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมเพื่อความเข้าใจ เพื่อละความไม่รู้ ฟังเพื่อเพิ่มพูนความรู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน เป็นการอบรมเจริญปัญญา ความรู้ในสภาพธรรมตามความเป็นจริง ทีละเล็กทีละน้อย เมื่อมีความรู้ความเข้าใจในพระธรรมมากขึ้น ปัญญาเจริญมากขึ้น ปัญญานั่นเองจำทำกิจของปัญญา คือ ละกิเลส เราไม่มีทางจะละกิเลสได้ด้วยความเป็นตัวตน เพราะความเป็นเรา หรือตัวตนนี้ เป็นกิเลสด่านแรกที่ยิ่งใหญ่ เป็นการยากที่จะละความยึดถือความเป็นเรา เพราะเรามีความยึดถือในตัวตนของเรามาตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ที่ไม่เคยได้ฟังพระธรรมขั้นละเอียด (อภิธรรม)
การศึกษาตามลำดับ ตั้งแต่ขั้นเข้าใจว่า ธรรม คืออะไร ธรรม คือ สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ตรวจสอบความรู้ดูว่า เข้าใจในสิ่งที่มีจริงในขณะนี้แล้วหรือยัง ต้องอาศัยการฟังการศึกษา จึงสามารถที่จะเข้าใจว่า สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ เป็นธรรมอย่างไร เช่น ในขณะนี้ซึ่งได้ยินเสียง แต่ถ้าไม่มีสภาพรู้ ซึ่งเป็นนามธรรม และไม่มีรูปร่างใด ๆ ทั้งสิ้น เสียงก็ไม่ปรากฏ สภาพรู้เป็นธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งต่างกับรูปธาตุ เพราะว่ารูปธาตุ ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย แต่นามธาตุไม่มีรูปร่าง นามธาตุเป็นธาตุ ซึ่งเมื่อเกิดแล้วต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด จึงเป็นนามธาตุ
นามธาตุได้แก่ จิต และ เจตสิก ในขณะนี้กำลังเกิดพร้อมกัน แล้วก็ดับพร้อมกัน ในขณะที่เสียงปรากฏ หมายความว่า ต้องมีธาตุรู้เสียง คือได้ยิน ถ้าไม่มีธาตุรู้ มีแต่เพียงรูป ไม่มีสัตว์ บุคคลในที่นี้เลย แม้ว่ามีเสียงปรากฏ ก็ได้ยินไม่ได้ เพราะว่าไม่มีธาตุรู้ ไม่มีสภาพรู้ แต่ที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดจะมีปรากฏในโลกได้ เพราะมีธาตุรู้เกิดขึ้น และต้องรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ จึงเห็น จึงได้ยิน จึงได้กลิ่น จึงลิ้มรส จึงได้รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย จึงคิดนึกต่าง ๆ เป็นลักษณะของธาตุรู้ ซึ่งไม่ใช่เรา เป็นสภาพของนามธรรม คือ จิตและเจตสิก
เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นที่จะอบรมเจริญปัญญาถึงขั้นที่จะรู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรม ก็ต้องมีการศึกษาเรื่องของธรรมะ ให้เข้าใจจริง ๆ ก่อนว่าขณะนี้ทุกอย่างที่ปรากฏที่มีจริง เป็นธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๒ อย่าง คือ เป็นนามธรรม หรือเป็นรูปธรรม.