ใครทำอะไรที่ผิด หรือมีความเห็นที่ผิด เราก็รู้ว่า เพราะเขาไม่รู้ เพราะฉะนั้น หนทางเดียว ก็คือให้เขาได้เข้าใจ ไม่ใช่ไปโกรธไปเกลียดไปชังไปว่าไปติอะไร ก็เป็นธรรมดาของอกุศล ขณะนั้น ถ้าโกรธ เกลียด ติ อกุศลเกิดกับเราแล้วก็ไม่รู้ ก็เพิ่มอกุศลของตนเองเข้าไปอีก
ความโกรธ
บุคคลโกรธตอบบุคคลผู้โกรธ ชื่อว่าเป็นคนเลวกว่าบุคคลผู้โกรธ เพราะเหตุว่าคนผู้โกรธเป็นคนเลว เพราะมีอกุศลจิตเกิดขึ้น แต่บุคคลผู้โกรธตอบ ก็เป็นผู้ที่ทั้งๆ ที่เห็นว่าเป็นอกุศล ก็ยังมีอกุศลจิตเกิดด้วย
บุคคลผู้ที่ไม่มีความเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง ไม่เข้าใจความเป็นเหตุเป็นผลของธรรม เวลาที่ตนเองเกิดอกุศลจิต ก็มักจะโทษผู้อื่น หรือ หาว่าผู้อื่นเป็นเหตุทำให้ตนเองเกิดอกุศลจิต แต่แท้ที่จริงแล้ว ไม่เกี่ยวกับบุคคลอื่นเลย นั่นเป็นผลมาจากการสะสมอกุศลของเราเอง เมื่อได้เหตุได้ปัจจัย อกุศลก็เกิดขึ้น คนอื่นไม่สามารถทำร้ายจิตใจของเราได้ แต่ว่ากิเลสของเราเท่านั้น ที่เกิดขึ้นทำร้ายจิตใจของเราเอง เวลาโกรธ ขาดเมตตา ด่าว่า หรือว่าให้ร้ายผู้อื่น เป็นต้น ตัวเราเองย่อมเดือดร้อน ด้วยอำนาจของอกุศลที่เกิดขึ้น และควรที่จะพิจารณาว่า ผู้โกรธก่อน ยังไม่เลวเท่าผู้ที่โกรธบุคคลผู้โกรธก่อน เพราะเขาเป็นอกุศลแล้ว เกิดสิ่งที่ไม่ดีแล้ว เราก็ยังเป็นเหมือนกับเขาอีก
ในทางตรงกันข้าม บุคคลผู้ที่เข้าใจความจริง พร้อมทั้งมีความอดทน ย่อมจะไม่โทษผู้อื่น ไม่ว่าจะประสบกับเหตุการณ์ใดก็ตาม ถึงแม้ว่าจะถูกโจรจับเลื่อยอวัยวะส่วนต่าง ๆ โจรสามารถทำร้ายได้เพียงร่างกาย แต่จิตของบุคคลนั้นเป็นกุศลเกิดขึ้น โจรไม่สามารถจะทำร้ายได้ เพราะฉะนั้น อกุศลทั้งหมดไม่ได้อยู่ที่คนอื่น ไม่ว่าหน้าตา พฤติกรรมทางกาย ทางวาจา จะเป็นอย่างไรก็ตาม ก็ไม่ใช่เหตุที่จะทำให้อกุศลจิตของเราเกิดได้ ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะกิเลสของเราเอง ตามความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าเขาหรือเรา ก็เป็นผู้เต็มไปด้วยกิเลสด้วยกันทั้งนั้น ควรที่จะเห็นใจผู้อื่น เห็นใจในความผิดของผู้อื่น แล้วให้อภัย พร้อมกันนั้น ก็ควรพิจารณาเห็นหรือตรวจสอบความประพฤติของตนเองด้วย แต่ถ้าจะไม่พิจารณาเลยก็ไม่สมควร สำหรับผู้ที่มีกิเลสหนามาก เป็นผู้ที่ว่ายาก และไม่เคยเห็นกิเลสของตนเองเลย เห็นแต่กิเลสของคนอื่น ถ้าเป็นอย่างนี้ก็จะต้องตั้งต้นตั้งแต่การฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม และพิจารณาให้เห็นโทษของอกุศล และมีความเพียรเกิดขึ้นที่จะระลึก ทบทวน อกุศลของตนเองอยู่เสมอบ่อยๆ เนืองๆ เพื่อประโยชน์แก่การขัดเกลาให้เบาบาง ดังนั้นประโยชน์สูงสุด จึงอยู่ที่การศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง อบรมเจริญปัญญา ค่อยๆ ขัดเกลากิเลสของตนเอง เมื่อปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้น ๆ แม้จะได้รับในสิ่งที่ไม่ดี กุศลจิตก็สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง แทนที่จะเป็นอกุศล ซึ่งทั้งหมด นั้นเป็นธรรม ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล “ความเข้าใจพระธรรม เท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริง สำหรับชีวิต”.