( Somboon )
“ดูก่อนราหุล เรากล่าวว่าบุคคลผู้ไม่มีความละอายในการกล่าวมุสาทั้งที่รู้อยู่ ที่จะไม่ทำบาปกรรมแม้น้อยหนึ่งไม่มี ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุนั้นแหละ ราหุล เธอพึงศึกษาว่า เราจักไม่กล่าวมุสา แม้เพราะหัวเราะกันเล่น ดูก่อนราหุล เธอพึงศึกษาอย่างนี้แล”
การกล่าวเท็จ
การกล่าวเท็จ ภาษาบาลีใช้คำว่า มุสา ได้แก่ วจีประโยค หรือกายประโยค ที่ทำลายประโยชน์ของบุคคล ผู้มุ่งจะกล่าวให้คลาดเคลื่อน. ก็เจตนาอันให้เกิดกายประโยค และวจีประโยค ซึ่งพูดให้ผู้อื่นคลาดเคลื่อนของบุคคล ผู้มุ่งจะกล่าวให้คลาดเคลื่อนนั้น ด้วยประสงค์จะกล่าวให้คลาดเคลื่อน ชื่อว่า มุสาวาท. อีกนัยหนึ่ง คำว่า มุสา ได้แก่ เรื่องที่ไม่เป็นจริง ไม่แท้. คำว่า วาทได้แก่ กิริยาที่ทำให้เขาเข้าใจเรื่องที่ไม่จริง ไม่แท้นั้นว่า เป็นเรื่องจริง เรื่องแท้. ว่าโดยลักษณะ เจตนาที่ให้เกิดวิญญัติอย่างนั้น ของผู้ประสงค์จะให้ผู้อื่นเข้าใจเรื่องที่ไม่แท้ว่าเป็นเรื่องแท้ ชื่อว่า มุสาวาท.
การกล่าวเท็จ หรือ การพูดเท็จ ซึ่งเป็นการพูดให้คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง บุคคลผู้กล่าวให้คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ชื่อว่า เป็นคนพูดเท็จ ดังข้อความจากพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส ว่า
“บุคคลบางคนในโลกนี้ อยู่ในสภาก็ดี อยู่ในที่ประชุมก็ดี อยู่ท่ามกลางญาติก็ดี อยู่ท่ามกลางสมาคมก็ดี อยู่ท่ามกลางราชสกุลก็ดี ถูกเขานำไปถามเป็นพยานว่ามาเถิดบุรุษผู้เจริญ ท่านรู้สิ่งใดก็จงบอกสิ่งนั้น บุคคลนั้นเมื่อไม่รู้ก็บอกว่ารู้บ้าง เมื่อรู้ก็บอกว่าไม่รู้บ้าง เมื่อไม่เห็นก็บอกว่าเห็นบ้าง เมื่อเห็นก็บอกว่าไม่เห็นบ้าง ย่อมกล่าวเท็จทั้งที่รู้ เพราะเหตุแห่งตนบ้าง เพราะเหตุแห่งผู้อื่นบ้าง เพราะเห็นแก่อามิสเล็กน้อยบ้าง ด้วยประการดังนี้ นี้เรียกว่า ความเป็นผู้พูดเท็จ”
ในอัฏฐสาลีนี ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของมุสาวาท ว่าต้องพร้อมด้วยองค์ ๔ ประการ คือ
๑. เรื่องไม่จริง
๒. เจตนาจะพูดเรื่องนั้น
๓. พูดหรือแสดงออกไป
๔. ผู้ฟังเข้าใจเนื้อความนั้น
มุสาวาท การแสดงเท็จ หรือลักษณะแห่งมุสาวาท ท่านประมวลไว้มี ๗ วิธี คือ
๑. ปด ได้แก่การโกหกชัด ๆ ไม่รู้ว่ารู้ ไม่เห็นว่าเห็น เป็นต้น
๒. ทนสาบาน คือ ทนสาบานเพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อว่าตนไม่เป็นเช่นนั้น
๓. ทำเล่ห์กะเท่ห์ ได้แก่การอวดอ้างความเกินความจริง
๔. มายา แสดงอาการหลอกคนอื่น เช่น ไม่เจ็บทำเป็นเจ็บ เป็นต้น
๕. ทำเลศ คือพูดเล่นสำนวน พูดคลุมเครือให้ผู้ฟังคิดผิดไปเอง
๖. เสริมความ เรื่องเล็ก แต่พูดให้คนฟังเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่
๗. อำความ ตรงกันข้ามกับเสริมความ คือเรื่องใหญ่แต่พูดให้เป็นเรื่องเล็ก
การพิจารณาว่ามุสาวาทอย่างไร มีโทษมากหรือมีโทษน้อย ท่านได้อธิบายไว้ว่า มุสาวาทที่ทำลายประโยชน์ของผู้อื่นมาก คือเขาได้รับความเสียหายมากมีโทษมาก ได้รับความเสียหายน้อยก็มีโทษน้อย และต้องพิจารณาส่วนกำหนดโดย วัตถุ เจตนา และประโยค ด้วย
ในพระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ หน้าที่ ๑๐๔-๑๐๕
“ดูก่อนราหุล เรากล่าวว่าบุคคลผู้ไม่มีความละอายในการกล่าวมุสาทั้งที่รู้อยู่ ที่จะไม่ทำบาปกรรมแม้น้อยหนึ่งไม่มี ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุนั้นแหละ ราหุล เธอพึงศึกษาว่า เราจักไม่กล่าวมุสา แม้เพราะหัวเราะกันเล่น ดูก่อนราหุล เธอพึงศึกษาอย่างนี้แล”
แสดงว่าอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย ที่จะไม่ให้ผลเลยนั้น เป็นอันไม่มี ย่อมสะสมสืบต่อเป็นอุปนิสสยปัจจัย และพร้อมที่จะแสดงตนเมื่อประสบโอกาส
สำหรับพระภิกษุถ้าพูดมุสา เช่น อวดคุณวิเศษที่ตนไม่มี แล้วบอกว่ามี ต้องอาบัติปาราชิกเป็นโทษหนัก ขาดจากความเป็นพระภิกษุ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 463
ภิกษุรู้อยู่ กล่าวเท็จว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้เข้าปฐมฌานได้แล้ว ด้วยอาการ ๗ อย่าง คือ ๑. เบื้องต้นเธอรู้ว่าจักกล่าวเท็จ ๒. กำลังกล่าวก็รู้ว่ากล่าวเท็จ ๓. ครั้นกล่าวแล้วก็รู้ว่ากล่าวเท็จแล้ว ๔. อำพรางความเห็น ๕. อำพรางความถูกใจ ๖. อำพรางความชอบใจ ๗. อำพรางความจริง ต้องอาบัติปาราชิก.
