Home » ความโศกเศร้าเสียใจ

ความโศกเศร้าเสียใจ

( Somboon )

by Pakawa

เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับทุกคนซึ่งมีความติดข้อง ผูกพันกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด เมื่อมีเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องพลัดพรากจากสิ่งที่ผูกพันยึดมั่นก็จะต้องโศกเศร้าเสียใจเป็นธรรมดาในเมื่อยังมีเหตุที่จะให้โศกเศร้าอยู่

ความโศกเศร้าเสียใจ

ทุกคนเกิดมาแล้วที่จะไม่มีความทุกข์ ที่จะไม่มีความโศกเศร้าเสียใจ นั้นไม่มีเลย เพียงแต่ว่าความทุกข์จะเกิดขึ้นกับใครในวันไหน ในลักษณะอย่างไร มากหรือน้อย และเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับทุกคนซึ่งมีความติดข้อง ผูกพันกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด เมื่อมีเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องพลัดพรากจากสิ่งที่ผูกพันยึดมั่นก็จะต้องโศกเศร้าเสียใจเป็นธรรมดาในเมื่อยังมีเหตุที่จะให้โศกเศร้าอยู่ ขณะใดที่ปัญญาไม่เกิด ขณะนั้นความโศกเศร้าก็ย่อมเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยนั้นๆ แต่ถ้าปัญญาพร้อมสติเกิดขึ้นในขณะใด ขณะนั้นย่อมรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ย่อมไม่โศกเศร้า ปัญญาเกิดพร้อมกับสภาพธรรมฝ่ายดีอื่นๆ เป็นกุศลธรรม ต่างกับขณะที่โศกเศร้าซึ่งเป็นอกุศลธรรมอย่างสิ้นเชิง
ความโศก นี้ องค์ธรรม ได้แก่ โทมนัสเวทนาอย่างเดียวเท่านั้น แม้เมื่อเป็นเช่นนั้น ความโศกนั้น มีการเผาไหม้ภายในเป็นลักษณะ มีการเผารนใจเป็นกิจ (หน้าที่) มีความเศร้าโศกเนืองๆ เป็นอาการปรากฏ.
การรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า แม้ความรู้สึกโศกเศร้า เสียใจ โทมนัส นั้นก็เป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะ เพราะเหตุว่าในขณะนั้น ก็มีเห็น ขณะเห็นไม่ใช่ขณะที่โศกเศร้า ขณะที่ได้ยิน ก็ไม่ใช่ขณะที่โศกเศร้า เพราะฉะนั้น เมื่อศึกษาพระธรรมฟังพระธรรมสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ ก็จะเข้าใจการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสภาพธรรมแต่ละขณะ แต่ละประเภท ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน แต่เพราะปัญญายังน้อย ก็ยังไม่สามารถรู้ตามความเป็นจริง ตรงตามลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ และ ทำให้มีความรู้สึกเหมือนกับว่า ความโศกเศร้านั้นไม่ได้ดับไปเลย แต่ความจริงความโศกเศร้าซึ่งเป็นโทมนัสเวทนานั้น เกิดขึ้นเพียงชั่วขณะแล้วก็ดับไป แล้วก็มีสภาพธรรมอื่นเกิดปรากฏ แสดงถึงความเกิดดับสืบต่อเป็นไปอย่างรวดเร็วของสภาพธรรม
สำคัญที่ปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูกอย่างแท้จริง ถ้าปัญญาไม่เกิด ก็ไม่มีอะไรที่จะผ่อนคลายความทุกข์ความโศกเศร้านั้นๆ ได้ ปัญญาเป็นสภาพธรรมฝ่ายดีที่อุปการะเกื้อกูลที่จะทำให้พิจารณาเห็นโทษของโลภะว่า ถ้ามีโลภะ ความติดข้องต้องการมากๆ ความทุกข์ที่จะตามมาก็ต้องมาก เพราะฉะนั้นทางเดียวที่ความทุกข์จะลดน้อยลง ก็คือมีความติดข้องมีความผูกพันลดน้อยลงด้วย และความทุกข์ที่กล่าวถึงนั้นก็เป็นทุกข์ทางใจ ซึ่งเป็นความโศกเศร้า เป็นโทมนัสเวทนา เป็นทุกข์ประเภทหนึ่ง ซึ่งปัญญาสามารถระงับได้ เพราะเหตุว่าเมื่อดับเหตุที่จะทำให้มีความโศกเศร้าเกิดขึ้นได้แล้ว ความโศกเศร้าก็เกิดขึ้นไม่ได้ แต่ก็ยังมีทุกข์อย่างอื่นอีกกล่าวคือ ถ้าเป็นทุกข์กายซึ่งเป็นผลของอกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนสภาพของทุกข์กายนั้นได้ ธรรมเป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น และสำหรับทุกข์กายในภูมิมนุษย์ที่ว่ามาก สำหรับบุคคลผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วยหรือเป็นโรคภัยอย่างร้ายแรง แต่ถ้าจะเปรียบเทียบทุกข์กายนั้นกับความเดือดร้อนในนรก หรือในการเกิดในอบายภูมิแล้ว ก็ย่อมจะเทียบกันไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าทุกข์ในอบายภูมินั้นมีมากกว่าทุกข์กายในสุคติภูมิอย่างเทียบกันไม่ได้ แต่เมื่อว่าโดยความเป็นจริงของสภาพธรรมแล้ว ความโศกเศร้าที่เป็นทุกข์ใจ ก็เป็นธรรม เป็นโทมนัสที่เกิดร่วมกับโทสมูลจิต ทุกข์ทางกาย ก็เป็นธรรม คือเป็นทุกขเวทนาที่เกิดพร้อมกับกายวิญญาณ ในขณะที่จิตเกิดขึ้นรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกายอันเป็นผลของอกุศลกรรมที่ได้ทำไว้แล้ว
ทั้งหมดเป็นเรื่องของสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย สภาพธรรมแม้จะมีจริงอยู่ทุกขณะ แต่ถ้าไม่ได้ฟังไม่ได้ศึกษาพระธรรม ไม่มีทางที่จะเข้าใจถูกตามความเป็นจริงได้เลย ยังคงมีความไม่รู้อีกต่อไปในสังสารวัฏฏ์, สภาพธรรมที่มีจริงนั้น ย่อมสามารถเป็นที่ตั้งให้สติและปัญญาเกิดขึ้นระลึกรู้ตามความเป็นจริงได้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา เป็นไปเพื่อละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล เพราะฉะนั้น สำคัญอยู่ที่เหตุ คือการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ไม่ประมาทในแต่ละคำ ที่เป็นวาจาสัจจะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ว่าจะเป็นคำใดก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นคำอนุเคราะห์เกื้อกูลให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริงทั้งหมด.

You may also like

Leave a Comment

-
00:00
00:00
Update Required Flash plugin
-
00:00
00:00