ที่สมมติว่าเป็นวันและคืนที่ล่วงไป ก็เพราะมีสภาพธรรม คือจิต เจตสิก รูป ที่เกิดดับสืบต่อไปอย่างรวดเร็วในทุกๆ ขณะ ดังนั้น วันและคืน จึงกำลังจากไปอย่างรวดเร็วในทุกๆ ขณะ ที่สมมติกันว่าเป็นชีวิตที่อยู่มาเป็นหลายๆ ปี แท้จริงแล้ว สภาพที่เป็นชีวิต คือสภาพที่ทำให้ จิต เจตสิก และ รูป ที่เกิดจากกรรม มีชีวิตดำรงอยู่ชั่วขณะที่แสนสั้น แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็วที่สุด สมดังข้อความที่ว่า “ดูกรภิกษุ เธอย่อมแก่ ย่อมเจ็บ ย่อมตาย ย่อมจุติ และ อุบัติ ทุก ๆ ขณะ ดังนี้”
เวลาของชีวิต
ที่กล่าวว่า มีการสมมติว่าเป็นกาลเวลา ที่เป็นวินาที เป็นนาที เป็นชั่วโมง เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี เป็นหลายๆ ปี ก็เพราะมีการเกิดดับสืบต่อกันของสภาพธรรมที่มีจริง คือตามที่จิตเกิดดับ ทีละขณะ สืบต่อกันไปนั่นเอง ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว แต่ละชีวิตที่ดำเนินไป ก็เป็นไปอย่างนี้ ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรมที่มีจริงเลย ขึ้นอยู่กับว่าผู้นั้นจะเห็นคุณค่าของการได้สะสมความดี เห็นคุณค่าของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก มากน้อยแค่ไหน ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เป็นไปตามการสะสมของแต่ละบุคคลจริงๆ
จะเห็นได้ว่า แต่ละคนมีความประพฤติเป็นไปตามการสะสม ถ้าเป็นผู้เห็นประโยชน์ของการสะสมความดีแล้ว เห็นว่าชีวิตของทุกคนเกิดมาแล้ว ในที่สุดก็จะต้องตาย ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าไปตลอด ในที่สุดแล้วก็จะต้องละจากโลกนี้ไปด้วยกันทั้งนั้น แต่ก่อนที่จะละจากโลกนี้ไปควรที่จะทำอะไร จึงมีอัธยาศัยน้อมไปในการสะสมแต่สิ่งที่ดี คือ กุศลธรรม สะสมเป็นที่พึ่งให้กับตนเองต่อไป ซึ่งจะมีลักษณะที่ตรงกันข้ามกับบุคคลผู้ประมาทมัวเมา ไม่เห็นคุณของกุศล ไม่เห็นคุณค่าของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์อย่างสิ้นเชิง แต่ละคนจึงไม่เหมือนกันจริงๆ ตามการสะสม
ความเข้าใจพระธรรมเท่านั้น ที่จะเป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูลให้เป็นผู้น้อมไปในทางที่เป็นกุศลยิ่งขึ้น ขัดเกลาละคลายกิเลสของตนเอง กิเลสทั้งหลาย จะเบาบางจนกระทั่งสามารถดับได้จนหมดสิ้น ก็เพราะมีปัญญา ไม่ใช่ด้วยอย่างอื่น
หากเราย้อนกลับไปในวัยทำงาน อกุศล ที่ไม่ใช่ความดี ก็เกิดได้ แต่ความไม่ดี ก็ไม่พ้นจาก จิต และเจตสิก ที่เกิดแต่ละขณะ และดับไปอย่างรวดเร็ว แม้ในขณะที่ทำงาน เช่น ขุ่นใจ หงุดหงิด ชอบในสิ่งที่กำลังทำ ก็เกิดความไม่ดี ในขณะที่ทำงานได้ เพราะอะไร เพราะสะสมอกุศล ความไม่ดีมามาก ดังนั้นหากสะสมความดี สะสมปัญญามา ก็สามารถเกิดกุศลจิตในขณะที่ทำงาน เกิดความดีในขณะที่ทำงานได้ เพราะความดี ก็เป็นกุศลจิตที่เกิดขึ้นและดับไป เพียงชั่วเวลาน้อยนิด แต่ก็สามารถเกิดได้ เช่น คิดช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน เป็นความดี เป็นกุศลจิตแล้ว อดทนต่อผู้อื่น ต่อผู้ร่วมงาน ด้วยความเข้าใจ เห็นใจ ก็เป็นกุศลจิต งดเว้นจากการพูดไม่ดี ต่อผู้ร่วมงาน ให้สิ่งต่างๆ กับเพื่อนร่วมงาน เป็นต้น ก็เป็นกุศลจิตเกิด เป็นความดีในขณะที่ทำงาน เพราะความดี ก็คือกุศลจิต ที่เกิดได้ในชีวิตประจำวัน
การสะสม ปัญญา ความเข้าใจพระธรรม ย่อมจะเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลจิตประการต่างๆ หรือความดีประการต่างๆ ได้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าสถานการณ์ใด สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “ผู้มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา ประเสริฐ” คือ มีชีวิตที่เป็นปกติในชีวิตประจำวัน แต่มีปัญญา ก็สามารถมีความดี เกิดความเข้าใจถูก และเกิดกุศลประการต่างๆ ได้
ผู้ที่สะสมปัญญามาในสมัยพุทธกาล ขณะที่ทำงาน ทำอาหาร กำลังประกอบอาชีพ แต่เมื่อได้ฟังธรรม ก็สามารถเกิดความดี คือปัญญา ความเข้าใจถูกในขณะนั้น จนได้บรรลุธรรม ที่เป็นความดีอันประเสริฐ เพราะ ละความไม่ดี คือกิเลสได้ไม่เกิดอีกเลยได้
ความดี จึงไม่ใช่จะเกิด หรือ ไม่เกิด ตามแต่สถานการณ์ เหตุการณ์ แต่ความดีจะเกิดได้ด้วยมีเหตุ คือการได้สะสมความดีนั้นมาในอดีต ก็จะเป็นปัจจัยให้ความดีเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เพราะชีวิตประจำวัน ก็คือการเกิดขึ้นของจิต และเจตสิก แต่ละอย่าง และความดีจะเจริญได้ ก็ด้วยการมีปัญญาที่เจริญขึ้น ด้วยการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม