Home » อารามนะ

อารามนะ

( วีระ วศินวรรธนร )

by Pakawa

อารามณะ คือ สื่งที่ตกกระทบ แล้ว จิตไปรับ ไปงับ(ไปรับ)เอาเข้ามา แล้วปรุงแต่งต่อ
จิตมีสิทธ์ในการเลือกรับอารามณะใช่ไหม ? แล้วต้องทำอย่างไร ?
………………………………………………

ใช่แล้ว! **อารามณะ** คือสิ่งที่ตกกระทบจิต และจิตจะไปรับหรือ “งับ” เอาเข้ามาแล้วปรุงแต่งต่อไป

### **จิตมีสิทธิ์ในการเลือกรับอารามณะหรือไม่?**
**โดยปกติ จิตมักจะรับอารามณะตามอัตโนมัติ** โดยเฉพาะเมื่อไม่มีสติ เช่น
– ได้ยินเสียงตำหนิ → จิตรับเข้าไป → โกรธหรือเสียใจ
– เห็นอาหารที่ชอบ → จิตรับเข้าไป → เกิดความอยาก

แต่ **จิตสามารถเลือกได้** ว่าจะรับหรือไม่รับอารามณะ **ถ้าฝึกสติและสมาธิให้ดี**

### **ทำอย่างไรให้จิตเลือกอารามณะได้?**

1. **มีสติ (สติปัฏฐาน)**
– การมีสติคือการรู้ตัวว่า **ตอนนี้กำลังรับรู้อะไรอยู่**
– เช่น เมื่อมีคนพูดไม่ดี → ถ้ามีสติจะรู้ว่า “เสียงนี้กำลังกระทบหู แต่เราไม่จำเป็นต้องโกรธ”
– เหมือนมี “ยามเฝ้าประตู” คอยตรวจว่าอะไรจะเข้ามาในใจเรา

2. **รู้จักปล่อยวาง (อุเบกขา)**
– เมื่ออารมณ์เข้ามา อย่าเพิ่งไปรับหรือปฏิเสธทันที แค่สังเกตว่า “อ้อ… นี่คืออารมณ์โกรธ นี่คืออารมณ์สุข”
– ไม่ต้องไปผลักไสหรือดึงดูด แค่รับรู้เฉยๆ แล้วปล่อยให้มันผ่านไป

3. **ฝึกสมาธิ (จิตตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว)**
– ถ้าจิตมีสมาธิ จะนิ่งและไม่หวั่นไหวง่ายๆ เมื่อมีสิ่งมากระทบ
– เหมือนผิวน้ำที่สงบ ไม่สะท้อนภาพผิดเพี้ยน

4. **เลือกสิ่งแวดล้อมที่ดี (โยนิโสมนสิการ)**
– หลีกเลี่ยงอารามณะที่ไม่ดี เช่น สื่อที่ปลุกปั่นอารมณ์ หรือคนที่ชอบพูดลบๆ
– ฝึกมองสิ่งต่างๆ ด้วยปัญญา เช่น เห็นคำตำหนิ → มองเป็นโอกาสพัฒนา ไม่ใช่สิ่งต้องโกรธ

### **สรุป**
**จิตเลือกอารามณะได้ ถ้ามีสติและปัญญา**
– ถ้าไม่มีสติ → จิตงับอารมณ์อัตโนมัติ → ปรุงแต่งเป็นสุขหรือทุกข์
– ถ้ามีสติ → จิตเห็นอารมณ์เฉยๆ ไม่งับ → วางเฉยหรือเลือกปรุงแต่งอย่างมีปัญญา

เหมือนกับคนที่เดินผ่านตลาด จะเลือกซื้อของดีหรือของไม่ดี ก็ขึ้นอยู่กับสติและปัญญาของตัวเอง 😊

**อารามณะ** (Ārammaṇa) เป็นศัพท์ในพระพุทธศาสนาที่หมายถึง **อารมณ์** หรือ **สิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งจิต** ซึ่งเป็นสิ่งที่จิตรับรู้และยึดถือเป็นอารมณ์ในการทำงาน เช่น รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สัมผัสทางกาย) และธรรมารมณ์ (อารมณ์ทางใจ)

### **ความสัมพันธ์ระหว่าง อารามณะ กับ จิต**
1. **อารามณะเป็นที่ตั้งของจิต**
– จิตจะเกิดขึ้นพร้อมกับอารมณ์เสมอ กล่าวคือ เมื่อจิตรับรู้อะไรบางอย่าง สิ่งนั้นก็คืออารามณะของจิต
– เช่น เมื่อเห็นวัตถุหนึ่ง จิตมี “รูป” เป็นอารามณะ เมื่อได้ยินเสียง จิตมี “เสียง” เป็นอารามณะ

2. **อารามณะเป็นปัจจัยกระตุ้นจิต**
– จิตเปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ์ที่มากระทบ เช่น ถ้าจิตรับอารมณ์ที่ดี ก็เกิดสุข ถ้ารับอารมณ์ที่ไม่ดี ก็เกิดทุกข์
– อารามณะเป็นตัวกำหนดสภาพของจิต เช่น ถ้าอารมณ์ขุ่นมัว จิตก็ขุ่นมัวไปด้วย

3. **อารามณะส่งผลต่อการปรุงแต่งของจิต (สังขาร)**
– เมื่อจิตรับรู้อารามณะ มักเกิดการปรุงแต่งต่อ เช่น ความชอบ ไม่ชอบ ความยึดติด หรือความเบื่อหน่าย
– ตัวอย่างเช่น เมื่อเห็นอาหารที่ชอบ จิตเกิดความอยาก (ตัณหา) หรือเมื่อได้ยินคำตำหนิ จิตเกิดโทสะ

4. **การฝึกจิตให้รู้เท่าทันอารามณะ**
– พระพุทธศาสนาเน้นการฝึกจิตให้รู้เท่าทันอารามณะ ไม่ปล่อยให้จิตไหลตามอารมณ์จนเกิดกิเลส
– การเจริญสติ (สติปัฏฐาน) และสมาธิช่วยให้จิตมีอิสระจากอารามณะ ไม่หลงตามความรู้สึกที่เกิดขึ้น
………………………………………………………………………
อารามณะเป็นสิ่งที่จิตรับรู้และมีผลกระทบโดยตรงต่อสภาพจิต ถ้าจิตไม่รู้เท่าทันอารมณ์ อาจนำไปสู่ความทุกข์หรือการปรุงแต่งที่ทำให้จิตเศร้าหมอง แต่ถ้าฝึกจิตให้มีสติและสมาธิ เจริญภาวนาวิปัสสนา นำไปสู่จิตที่สงบและเป็นอิสระจากกิเลส

หากเราละเลิกนิสัยที่ชอบจับผิด คอยค้นหาความผิดพลาดของผู้อื่นได้ ก็จะสามารถปิดกั้นหนทางที่กิเลสจะเข้ามาครอบงำจิตใจเราได้เป็นอย่างดี

1. **การจับผิดผู้อื่น** เป็นนิสัยที่มาจาก **อัตตา** (ตัวตน) และ **กิเลส** เช่น ความอิจฉา ความโกรธ หรือความยึดมั่นถือมั่นว่าเราถูกต้องเสมอ
2. เมื่อลดหรือละทิ้งนิสัยนี้ **ใจของเราจะสงบขึ้น** เพราะไม่ได้พะวงกับข้อผิดพลาดของคนอื่น
3. **กิเลสจะไม่สามารถเข้ามามีอิทธิพลต่อจิตใจเราได้** เนื่องจากเราไม่เปิดโอกาสให้มันเติบโตจากความคิดลบ ๆ

**การมองตัวเอง แก้ไขที่ตัวเอง ไม่มุ่งแต่จับผิดคนอื่น คือหนทางสู่ความสงบและพ้นจากกิเลส**

侘寂 (Wabi-Sabi)
ยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเป็น

#### **1. ยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบ**
侘寂 (วะบิ-ซะบิ) สอนให้เราชื่นชมความงามที่มีอยู่ในความไม่สมบูรณ์แบบ แทนที่จะไล่ตามความสมบูรณ์แบบตลอดเวลา เราควรภาคภูมิใจในความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเรา

#### **2. ค้นหาความสุขในปัจจุบัน**
侘寂 ชี้ทางให้เราใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน รู้จักผ่อนวางปล่อยลง และซาบซึ้งกับสิ่งต่างๆรอบๆตัวเรา

#### **3. ให้ความสำคัญกับความเรียบง่าย**
侘寂 สอนว่าเราควรทำให้ชีวิตเรียบง่ายขึ้น ตัดสิ่งเร้าที่ไม่จำเป็นและภาระที่แบกหนักออกไป เหลือไว้เพียงสิ่งที่มีคุณค่าต่อชีวิตจริง

#### **4. โอบกอดธรรมชาติ**
侘寂 เน้นถึงความสัมพันธ์กับธรรมชาติ เพราะธรรมชาติคือแหล่งกำเนิดของสรรพสิ่ง เมื่อเราได้อยู่ในท่ามกลางของธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นเสียงนกร้อง กลิ่นใบหญ้า-ต้นไม้ หรือสายลม… สิ่งเหล่านี้จะนำพาความสงบกลับคืนมาสู่หัวใจ-จิตใจ

#### **5. ปล่อยวางจากความยึดติด**
侘寂 สอนให้เราละวางจากการยึดติด ไม่ว่าจะเป็นวัตถุ ผู้คน หรือความคิด เพราะการยึดติดทำให้เราทุกข์ เมื่อเราเรียนรู้ที่จะยอมรับความเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนของชีวิต(อนิจจัง) เราก็จะพบกับอิสรภาพทางจิตใจ
……………………………………………………………
侘寂 (วะบิ-ซะบิ) เป็นแนวคิดด้านความงามและปรัชญาจากญี่ปุ่นที่เน้นการมองหาความงามในสิ่งที่ไม่สมบูรณ์ ความเรียบง่าย และความไม่จีรังถาวร
มันสอนให้เรายอมรับความไม่แน่นอนของชีวิต ชื่นชมช่วงเวลาในปัจจุบันขณะ ดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย และอยู่ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ เราจะพบกับความสงบและอิสรภาพของจิตใจ

…. วีระ วศินวรรธนะ เรียบเรียง

You may also like

Leave a Comment

ช่องทางติดตามข่าวสาร

Copyright @2024  All Right Reserved – Buddhawisdomfoundation Buddhawisdom

-
00:00
00:00
Update Required Flash plugin
-
00:00
00:00