สมถคือความสงบของจิตที่เป็นกุศล ส่วนสมาธิหมายถึงความตั้งมั่นของจิต ซึ่งองค์ธรรมเอกัคคตาเจตสิก เกิดกับจิตทุกประเภท ดังนั้นจึงตั้งมั่นในอกุศล และกุศลก็ได้ ส่วนถ้ากล่าวเฉพาะสมถะ จะหมายถึง ความสงบ ที่เป็นกุศลเท่านั้น
สมถภาวนา
สิ่งใด ธรรมใดที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านทรงสรรเสริญกุศลธรรมทุกๆ ประการ ดังนั้นพระองค์ทรงแสดงกุศลขั้นทาน ศีล และภาวนา ซึ่งกุศลขั้นภาวนาก็แบ่งเป็น สมถภาวนา และวิปัสสนาภาวนา
สำหรับวิปัสสนาภาวนานั้น คือการเจริญสติปัฏฐาน หรือ อริยมรรค อันเป็นหนทางดับกิเลส ที่พระองค์เท่านั้นเป็นผู้ตรัสัรู้ความจริง ไม่มีใครรู้มาก่อน และเป็นหนทางเดียวที่ดับกิเลส ส่วนกุศลประการอื่นๆ ไม่ว่าเป็นกุศลขั้นทาน ศีล และสมถภวานา เป็นกุศลที่ควรเจริญ เพราะโดยมากจิตย่อมแล่นไปในอกุศล แต่ไม่ใช่หนทางดับกิเลส
ดังนั้น สมถภาวนา ที่พระองค์ทรงแสดงไว้ เป็นกุศลธรรม เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่พระองค์ก็ทรงแสดงถึงความละเอียดของกุศลแต่ละอย่าง แต่ละประการไว้ว่า กุศลใดสามารถดับกิเลสได้ กุศลใด ไม่สามารถดับกิเลสได้
เราจะต้องมีความเข้าใจถูกเบื้องต้นว่า สมถภาวนาไม่สามารถดับกิเลสได้ และการเจริญวิปัสสนา ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเจริญสมถภาวนาให้ได้ฌานก่อน เพราะขณะที่เจริญวิปัสสนา ก็มี สมถะ ที่เป็นองค์ธรรมของความสงบ มีสัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ ที่เป็นฝักฝ่าย สมถะ อยู่แล้ว
ในมหาโควินทสูตร พระโพธิสัตว์เกิดเป็นมหาโควินทพราหมณ์ สั่งสอนสาวกให้เจริญฌาน ได้ไปพรหมโลกมากมาย แต่พระองค์ได้ทรงแสดงธรรมเมื่อครั้งที่เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสว่า เมื่อครั้งนั้นเราสอนสาวกให้เจริญฌาน ได้ไปพรหมโลก แต่ทางนั้นไม่ใช่ทางเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ไม่ใช่ทางหลุดพ้น แต่สมัยนี้เราแสดงอริยมรรคมีองค์ ๘ กับเธอ อันเป็นหนทางดับกิเลส เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้น
ส่วนในสัลเลขสูตร พระองค์ทรงแสดงว่า ฌานขั้นต่างๆ ไม่ใช่ธรรมเครื่องขัดเกลากิเลส เพียงแต่เป็นธรรมที่อยู่เป็นสุขในปัจจุบันนี้เท่านั้น
ดังนั้น เจริญสมถภาวนาได้ถ้ามีความเข้าใจถูกว่ากุศลควรเจริญ และเห็นโทษของกิเลส แต่ก็ต้องมีปัญญาที่รู้ว่าจะอบรมอย่างไร ไม่เข้าใจผิดว่าจะเจริญวิปัสสนา แล้วจะต้องเจริญสมถภาวนาควบคู่กันไป หรือต้องเจริญสมถภาวนาก่อน อย่างนี้ไม่ถูกต้อง ดังนั้นพระพุทธองค์ทรงแสดงเรื่องฌาน สมถภาวนาไว้ก็จริง แต่พุทธบริษัทผู้ศึกษาธรรมต้องมีความละเอียดว่า ทรงแสดงสมถภาวนาไว้เพราะเหตุผลใดด้วย คือกุศลควรเจริญทุกประการแต่ สมถภาวนา ไม่ใช่หนทางดับกิเลส และไม่ใช่ว่า ในการเจริญวิปัสสนาจะต้องเจริญสมถภาวนาก่อน หรือควบคู่กันไป
พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เพื่อให้ผู้ฟังผู้ศึกษา เกิดความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นปัญญาของตนเอง ซึ่งถ้ามีการฟัง มีการพิจารณาไตร่ตรองอย่างละเอียด ก็จะทำให้เข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ไม่คลาดเคลื่อน จริงอยู่ ถึงแม้ว่าก่อนการตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งเป็นช่วงที่ว่างจากพระธรรมคำสอน ก็มีผู้ที่อบรมเจริญฌาน ซึ่งเป็นสมถภาวนา ผลก็คือระงับกิเลสได้ชั่วคราว เมื่อฌานไม่เสื่อมก็เป็นเหตุให้ไปเกิดในพรหมโลก เมื่อเคลื่อนจากพรหมโลกแล้ว ก็เกิดในภพภูมิต่าง ๆ อีกยังไม่พ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงได้ แต่เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้แล้ว ก็ทรงแสดงธรรม เพื่อให้สัตว์โลกได้เข้าใจตามความเป็นจริง พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงในส่วนของภาวนา มีทั้งสมถภาวนา และวิปัสสนาภาวนา แต่ทั้งหมด ต้องเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม เป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง เป็นสำคัญ และการที่จะเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง ต้องอบรมเจริญ วิปัสสนาภาวนา ซึ่งเป็นการอบรมเจริญปัญญา รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ผลสูงสุดทำให้ผู้อบรมสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ จนกระทั่งบรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด.