อดทนต่อ หนาว ร้อน ด้วยจิตเป็นกุศลไม่เดือดร้อน อดทนต่อคำว่าร้าย และกายที่ไม่ดีของผู้อื่นที่ทำความเสียหาย ด้วยการพิจารณาด้วยการคิดนึก ว่า ควรเห็นใจคนที่ทำไม่ดีว่าเขาจะต้องได้รับผลของกรรมไม่ดี ไม่ควรโกรธ และ มีเมตตา หวังดีกับผู้นั้น เพราะเขามีความไม่รู้ เพราะถ้ารู้กฌจะไม่ทำอย่างนั้น
ความอดทน
ในชีวิตประจำวัน ย่อมต้องประสบกับสิ่งต่างๆ มีทั้งสิ่งที่น่าพอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง ก็ให้ทราบว่าเป็นเรื่องปรกติธรรมดาของชีวิต ผู้ที่เข้าใจชีวิต จึงเป็นผู้ไม่หลงเพลิดเพลินไปกับสิ่งที่น่าพอใจมากนัก และก็ไม่เป็นทุกข์มากมายกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจ เป็นผู้ที่มีความอดทนต่อธรรมทั้งหลาย ทั้งที่เป็นทุกข์ เป็นสุข และไม่ทุกข์ไม่สุขโดยเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด ดังนั้น จึงควรมีความอดทนในอารมณ์ทั้งหลายทั้งที่น่าพอใจ และไม่น่าพอใจ โดยระลึกศึกษาว่าเป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นทำกิจแล้วดับไป ทางทวารต่าง ๆ สลับกันไปไม่สิ้นสุดและก็เป็นปกติธรรมดาอย่างนั้นเอง
ความอดทน เมื่อมีผู้อื่นทำความเสียหาย หมายถึง จิตเป็นกุศลในขณะนั้น ที่ไม่โกรธมีเมตตา และอดทน ต่อถ้อยคำ หรือ กาย วาจาที่ผู้อื่นทำความเสียหายให้ ดังนั้น ความอดทนที่เป็นขันติ จึงมีหลายระดับ ตามระดับของปัญญา ที่เป็นความอดทน ขันติที่อดทนต่อ หนาว ร้อน ด้วยจิตเป็นกุศลไม่เดือดร้อน อดทนต่อคำว่าร้าย และกายที่ไม่ดีของผู้อื่นที่ทำความเสียหาย ด้วยการพิจารณาด้วยการคิดนึกว่า ควรเห็นใจคนที่ทำไม่ดีว่าเขาจะต้องได้รับผลของกรรมไม่ดี ไม่ควรโกรธ และ มีเมตตา หวังดีกับผู้นั้น เพราะขณะนั้น เขามีความไม่รู้ เพราะถ้ารู้ จะไม่ทำเลย นี่ก็เป็นตัวอย่าง ขันติที่เกิดจากปัญญาขั้นคิดพิจารณา และ ขันติขั้นสูง ที่เป็นการเจริญวิปัสสนา ขณะที่ผู้อื่นทำความเสียหาย ก็ไม่โกรธ เพราะขณะนั้น ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฎทางตา หรือทางหู ที่เป็นแต่เพียงเสียง ไม่ใช่เสียงของคนอื่น เป็นแต่เพียง ธรรม เป็นต้น จึงไม่โกรธเพราะเป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาที่รู้ตามความเป็จริงว่าเป็นแต่เพียงธรรม เป็นขันติขั้นสูง อดทนที่จะไม่เป็นอกุศล เพราะรู้ความจริงนั่นเอง
ความอดทน อดกลั้น ข่มใจ คือ ขันติ ความอดทน เป็นอโทสะเจตสิก ซึ่งเกิดกับจิตที่ดีงาม เพราะในขณะที่อดทน คือ ขณะนั้น ไม่โกรธ ด้วยกุศลจิต จึงเป็นอโทสะเจตสิก และแม้ขณะที่มีเมตตา ขณะนั้น แสดงลักษณะถึงความไม่โกรธ แต่มีเมตตา จึงมีองค์ธรรม เป็นอโทสะเจตสิก เช่นเดียวกัน
ความอดทน มีหลายระดับ เช่น ความอดทนต่อร้อนหนาว ด้วยกุศลจิต เป็นอโทสะเจตสิก ความอดทนต่อ คำพูดไม่ดี วาจาไม่ดี หรือ การกระทำทางกาย วาจา ที่ไม่ดีของผู้อื่นด้วยกุศลจิต ความอดทนนั้นเป็น อโทสะเจตสิก และ ความอดทน ที่เราอาจจะไม่ค่อยได้ยิน คือ ขันติญาณ ที่เป็นวิปัสสนาญาณขั้นสูง เป็นความอดทนอย่างยิ่ง ที่จะรู้ความจริง ในสภาพธรรมตามความเป็นจริง อย่างละเอียด ลึกซึ้ง เป็นความอดทน คือ ขันติญาณ ที่เป็นอโมหะเจตสิก ที่เป็นปัญญา
ดังนั้น ความอดทนเป็นไปตามระดับของกุศล แต่ที่สำคัญคือจะต้องเป็นเจตสิกที่ดี มีอโลภะเจตสิก อโทสะเจตสิก และ อโมหะเจตสิก จึงจะอดทนได้ ซึ่งอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ก็จะเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของความอดทนในระดับต่างๆ คือ ความเจริญขึ้นของกุศลธรรม และที่สำคัญที่สุดคือ อดทนที่จะฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมต่อไปย่อมถึงขันติ เป็นตบะอย่างยิ่ง ที่จะเผากิเลสจนหมดสิ้น.