เงินทองไม่ควรกับพระภิกษุ

การถวายเงิน แก่พระภิกษุ เป็นเหตุให้พระภิกษุอาบัติ และ พระภิกษุนั้น ถ้าไม่ได้สละเงินแล้วปลงอาบัติ ก็ยังมีอาบัติติดตัว ถ้าท่านมรณภาพไป ก็ไปเกิดอบายในชาติหน้า การกระทำของเราก็เท่ากับส่งเสริมให้พระภิกษุท่านต้องไปอบาย

เงินทองไม่ควรกับพระภิกษุ

สิกขาบทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงบัญญัติไว้ ทุกสิกขาบทเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลโดยตลอด แม้พระอรหันตเถระทั้งหลายในคราวกระทำสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๑ ก็มีความเห็นร่วมกันว่า จักไม่ถอนพระบัญญัติและจักไม่บัญญัติสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบัญญัติ
พระอรหันตเถระทั้งหลายท่านก็มีความเคารพในสิกขาบททุกสิกขาบทที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติแล้ว โดยพระองค์ทรงเป็นผู้บัญญัติพระวินัยเพียงผู้เดียว ไม่มีผู้อื่นสามารถบัญญัติพระวินัยได้ เพราะฉะนั้น พระอรหันตเถระทั้งหลายก็ไม่ถอนพระบัญญัติที่ทรงบัญญัติแล้ว และไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่ทรงบัญญัติ ดังนั้นถ้าหากว่าจะมีบุคคลใดที่มีความเห็นว่า พระวินัยควรปรับให้เป็นไปตามยุคสมัย ควรมีการอนุโลมในบางเรื่อง อย่างเช่น ภิกษุ ควรรับเงินรับทองได้ เป็นต้น ก็ควรจะได้ระลึกถึงเหตุการณ์ที่พระอรหันตเถระทั้งหลาย ในคราวกระทำสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๑ ที่มีความเห็นร่วมกันว่าจะไม่ถอนพระบัญญัติที่ทรงบัญญัติแล้ว และจะไม่บัญญัติ สิ่งที่ไม่ทรงบัญญัติ แต่จะสมาทานศึกษาประพฤติตามสิกขาบทที่ได้ทรงบัญญัติไว้แล้ว กล่าวคือไม่กระทำในสิ่งที่ผิด และประพฤติในสิ่งที่ถูกต้องที่สามารถ กระทำได้เท่านั้น ตามความเป็นจริงแล้ว ถ้านับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง เป็นพระบรมศาสดา คำของพระองค์เปลี่ยนไม่ได้เลย และคำของพระองค์ ก็คือทั้งพระธรรมและพระวินัย ไม่ใช่เฉพาะพระธรรมเท่านั้น ทุกคำของพระองค์ ที่ตรัสด้วยพระมหากรุณาตามที่ทรงบัญญัติเป็นพระวินัยแก่ภิกษุ ทั้งหมดเพื่อให้ภิกษุ ทั้งหลายได้อยู่สบายในเพศของผู้ที่สงบระงับจากกิเลส เพราะว่าจุดประสงค์ ของการบวชเป็นภิกษุ เพื่อขัดเกลากิเลส ไม่ใช่เพื่อเพิ่มกิเลส
เมื่อภิกษุไม่รับเงินทองแล้วจะอยู่ได้อย่างไร? ภิกษุทั้งหลายในครั้งพุทธกาล รับเงินรับทองหรือไม่ แล้วท่าน เหล่านั้นมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร นี้คือ สิ่งที่ชาวพุทธควรจะได้ตระหนักเป็นอย่างยิ่ง ภิกษุที่ประพฤติตามพระธรรมวินัยขัดเกลากิเลสก็ย่อมเป็นที่เลื่อมใส เป็นที่เคารพสักการะของคฤหัสถ์อยู่แล้ว คฤหัสถ์ย่อมพร้อมที่จะทะนุบำรุงด้วย ปัจจัย ๔ มีอาหาร เป็นต้นอยู่แล้ว แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับชีวิตที่จะดำรงอยู่ได้ อย่างเบาสบาย ไม่เดือดร้อน เพื่อศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาขัดเกลา กิเลสของตนเองต่อไป เพราะเหตุว่าไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใด การรับเงินทอง ของภิกษุ ย่อมเป็นการกระทำที่ไม่สมควร ก่อให้เกิดความไม่สงบ พอกพน อกุศลหนาแน่นยิ่งขึ้น ดังนั้น ทุกสิกขาบทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ เป็นความจริง ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย เพื่อป้องกันไม่ให้อกุศล เกิดพอกพูนยิ่งขึ้น เป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลสเท่านั้น และทุกสิกขาบทที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ ก็เพื่อความอยู่ผาสุกของภิกษุ ทั้งหลาย นั่นเอง ไม่ได้เป็นไปเพื่อเบียดเบียนภิกษุทั้งหลายเลยแม้แต่น้อย แล้วถ้าภิกษุสำนึกอยู่ตลอดเวลาว่าออกบวชเพื่อประพฤติตามพระสัมมา สัมพุทธเจ้า ก็จะหมดปัญหาทุกอย่าง เพราะเหตุว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงไม่รับเงินทอง แล้วภิกษุที่ออกบวชตามพระองค์ จะรับเงินทองได้อย่างไร เพราะความเป็นภิกษุในพระธรรมวินัย ไม่ว่าจะบวชนานหรือบวชไม่นาน ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม ล้วนมีพระธรรมวินัยเป็นที่พึ่งด้วยกันทั้งนั้น บุคคลผู้ที่มีความเคารพยิ่ง ในพระธรรมวินัย ไม่ว่าในกาลไหน ก็คือ ผู้ที่ ประพฤติตามพระธรรมวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ดีแล้ว.

Related posts

ปัญญารัตนะ

อัตตสัญญาและอนัตตสัญญา

ชีวิตผู้ครองเรือน