( Somboon )
การฟังธรรมเพื่อให้เข้าใจถูก แม้เพียงขั้นเริ่มต้น ถ้าเริ่มต้นไม่เข้าใจถูกต้อง จะเข้าใจเพิ่มขึ้นจนกระทั่งปฏิปัตติธรรม รู้แจ้งอริยสัจธรรม ดับกิเลส เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเหตุว่า ทั้งหมดเป็นปัญญาซึ่งต้องเป็นไปตามลำดับขั้น ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่มีทางรู้แจ้งอริยสัจธรรม
อัตตสัญญาและอนัตตสัญญา
อัตตสัญญา คือ ความจำผิดว่ามีสัตว์ บุคคลมีตัวตน มีเราจริง ๆ จะต้องเกิดร่วมกับความเห็นผิด จะเห็นได้ว่า พระโสดาบันท่านดับความเห็นผิดได้ทุกประเภท ดับความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน สัตว์บุคคล ไม่มีความเห็นผิดใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย อัตตสัญญาจึงไม่มีกับพระอริยบุคคล แต่การหมายรู้ว่าเป็นคนนั้น คนนี้ เป็นเก้าอี้ เป็นต้นนั้นไม่ใช่ด้วยความความจำผิด เพราะได้เข้าใจอย่างถูกต้องว่า เพราะมีการประชุมกันของสภาพธรรม จึงมีการสมมุติบัญญัติว่าเป็นคนนั้นเป็นคนนี้ เป็นแขน เป็นขา เป็นเก้าอี้ เป็นต้น ด้วยความเข้าใจถูกตามความเป็นจริง ขณะนั้นไม่ได้มีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วย แม้จะเห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็ตาม
อัตตสัญญา คือ สัญญาที่เกิดกับอกุศลจิต จะเป็นกุศลไม่ได้ เพราะในขณะที่เป็นกุศลจิต ไม่ได้มีความจำหมายด้วยสัญญาที่อกุศลด้วยสัญญา ที่น่าพิจารณาคือ การเห็นเป็นสัตว์ บุคคลหรือมีอารมณ์เป็นบัญญัติไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นอัตตสัญญาเสมอไป สำคัญที่จิตในขณะนั้น เมื่อใดจิตเป็นอกุศล สัญญาที่เกิดร่วมด้วยจำรูปร่าง เป็นสัตว์ บุคคลในขณะนั้นเป็นอัตตสัญญา
พระสัมมามาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ทัั้งหลาย พระอริยสาวกทั้งหลาย ก็รู้ว่าใครเป็นใคร รู้ว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว อัตตสัญญา จึงจะต้องเป็นความจำที่ผิด คือจำว่ามีสัตว์ บุคคล มีเรา ที่เกิดร่วมกับทิฏฐิเจตสิกที่เป็นความเห็นผิด ซึ่งพระอริยบุคคลไม่มีแล้ว เพราะดับความเห็นผิดได้อย่างหมดสิ้นแล้ว
ส่วนอนัตตสัญญา คือ การจำว่าไม่มีสัตว์ บุคคล ซึ่งจะต้องเกิดร่วมกับปัญญา ความเห็นถูก เช่น ขณะที่สติปัฏฐานเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง ในขณะนั้นว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ขณะนั้น มีสัญญาเที่เกิดพร้อมปัญญา ที่เป็นการจำด้วยความเห็นถูกว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา จึงเป็นอนัตตสัญญา
ความเข้าใจพระธรรม จากการได้ฟังในสิ่งที่มีจริงบ่อย ๆ เนือง ๆ จะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก ขัดเกลาการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนเป็นสัตว์เป็นบุคคล เพราะมีความเข้าใจอย่างถูกต้องว่า มีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นไป ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน จนกว่าจะมีปัญญาเจริญขึ้นรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความจริงว่าเป็นธรรม ที่เป็นอนัตตา ขณะนั้น พร้อมด้วยปัญญาและโสภณธรรมอื่น สัญญาที่เกิดร่วมด้วยก็เป็นสัญญาที่เป็นไปกับความจำหมายว่าเป็นอนัตตา เพราะเป็นไปพร้อมกับปัญญาที่เข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง ดังนั้นจะขาดการฟังพระธรรมในชีวิตประจำวันไม่ได้เลยทีเดียว ค่อย ๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย.