ทำไม ?
แสงแดดตอนเช้าเป็นสีฟ้า ตอนเย็นเปลี่ยนเป็นสีส้ม
สีฟ้าคือสีที่ไปปลุกสรรพสิ่งให้activate ตื่นขึ้น
สีส้ม คือสีที่บอกสิ่งมีชีวิตต่างๆให้เตรียมตัวพักผ่อน
นก ไม่มีนาฬิกา ทำไมจึงรู้จักตื่น(เพราะแสงสีฟ้าไปกระตุ้น)
เมื่อใกล้พลบค่ำ พระอาทิตย์จะบอกให้สรรพสิ่งเตรียมตัวพักผ่อนได้แล้ว ด้วยการส่องแสงสีส้มมาให้
ใครที่นอนไม่ค่อยหลับ ให้ไปรับแสงสีส้มนี้
มนุษย์เป็นสัตว์ประหลาด ไม่ยอมทำตามธรรมชาติ มันจึงหกคะเมนตีลังกา ไปจุดไฟให้สว่างไสวในตอนกลางคืน ไม่นอนไม่หลับ
ทำตัวเองไม่พอ ยังเอาแสงไฟไปหลอกไก่ให้ตื่นขึ้นมากินอาหาร ให้cycleของแต่ละวันนั้นสั้นลง(เร็วขึ้น) จะได้โตเร็วๆ เอาไปส่งขายได้เร็วขึ้น
….วีระ วศินวรรธนะ
“ความอดทน” หรือ “ขันติ”
“ความสามารถในการทนต่อเวทนา อุปสรรค ความยากลำบาก ความเจ็บปวด ความไม่พอใจ ความลำบากใจ โดยไม่หวั่นไหว ไม่ฟุ้งซ่าน และไม่โกรธ”
– ขันติต่อเวทนา – ทนความปวด เจ็บ หนาว ร้อน หิว
– ขันติต่อคำพูดและพฤติกรรมของคนอื่น – ถูกด่า ว่าร้าย ตำหนิ
– ขันติต่ออารมณ์และกิเลสของตนเอง – โกรธ อยาก โลภ
– ขันติต่อกาลเวลา – ยอมให้การปฏิบัติค่อยๆ ก่อตัว ไม่รีบร้อนจะสำเร็จ หรือ “บรรลุ”
“ทนต่อเวทนา” ได้ โดยไม่โกรธ ไม่ดิ้น ไม่ทุกข์ซ้ำ
ขันติไม่ใช่เวทนา แต่เป็น คุณธรรมที่ตั้งมั่นอยู่ท่ามกลางเวทนา
จัดเป็น “สังขารขันธ์” (คือเจตสิกฝ่ายดีงาม เป็นเจตนาแห่งความอดทน)
“ขันติ” คือตัวแปรสำคัญที่ช่วย หยุดวงจรทุกข์ไว้ที่เวทนา
โดยไม่ให้มันกลายเป็น “ความดิ้นรน” และ “ความยึดมั่น” ที่จะสร้างตนตนใหม่ขึ้นมา
แล้วขันติ ต่างกันอย่างไรกับ อุเบกขา ?
ขันติเป็นสะพานไปสู่อุเบกขา ❞
เพราะเมื่อเราฝึกขันติอย่างต่อเนื่อง ใจจะสงบขึ้น จนไม่ต้อง “ทน” อีกต่อไป
ถึงจุดหนึ่ง “ขันติ” กลายเป็น “อุเบกขา” โดยไม่ต้องพยายาม
🔸 ขันติ คือ ความสามารถทนต่อเวทนา อารมณ์ สภาพที่ไม่พึงปรารถนา โดยไม่หวั่นไหว
🔹 อุเบกขา คือ ความเป็นกลางทางใจ ที่ไม่เอนเอียงไปในสุขหรือทุกข์ เห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง
ขันติมาก่อนในผู้ปฏิบัติทั่วไป แต่เมื่อมีปัญญากล้า อุเบกขาจึงบังเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
* ถ้าท่านเห็นจิตตัวเอง “ไม่ดิ้น ไม่ต้าน ไม่ต้องอดทนอีกต่อไป” — นั่นอาจไม่ใช่แค่ขันติแล้วครับ
ท่านกำลังเข้าถึง “อุเบกขาญาณ” หรือ “วิปัสสนูเปกขาญาณ” ขั้นปลายของวิปัสสนาอยู่ก็เป็นได้ครับ
“บวชมานานแล้ว ได้อะไรบ้าง?” หรือ “ได้บรรลุหรือยัง?”
การบวชคือเส้นทางไปสู่ “ความเป็นอะไรบางอย่างหรือ ? ”
เช่น เป็นพระอริยะ เป็นผู้รู้ เป็นผู้วิเศษ
“อาตมาบวชมา…เพื่อไม่เป็นอะไรเลย”
ไม่ใช่คำพูดประชด ไม่ใช่การปฏิเสธความเพียร
แต่เป็นถ้อยคำที่พาเรากลับมาดูให้ลึก
ว่าเราใช้ชีวิตเพื่อ “จะเป็นอะไร” อยู่หรือเปล่า?
ในโลก เรามักต้องดิ้นรนเพื่อให้ได้ “เป็น” บางสิ่ง
เป็นคนดี เป็นคนที่ประสบความสำเร็จ เป็นที่ยอมรับ
แต่ในธรรมะ การปฏิบัติคือการวาง “ละ”ความยึดถือว่า “เราคือ” หรือ “เราเป็น”
เพราะเมื่อไม่ต้องเป็นอะไร ใจก็ไม่ต้องแบกอะไร
ไม่มีอะไรที่ต้องพิสูจน์ ไม่มีใครต้องแข่งด้วย…ไม่มีบทบาทที่ต้องเล่น
…หลวงปู่สุเมโธ
หลวงปู่พูดถึง…การดูแลสุขภาพ การพิจารณาอาหาร
การอยู่แบบพอดี พอประมาณ การวางข้อวัตรปฏิบัติสำหรับตนเองในการปรารภความเพียร
บรรยากาศนั้นเรียบง่ายมาก แต่มีความเต็มอยู่ในใจ
เต็มไปด้วยความรู้ตัว เต็มไปด้วยความเงียบที่ไม่ต้องปรุงแต่งอะไร
และนั่นเอง…อาจเป็นคำตอบที่ใกล้กับที่ หลวงปู่กล่าวไว้ว่า บวชมา…
เพื่อไม่ต้องเป็นอะไรเลย
เพราะเมื่อไม่ต้องเป็นอะไร ใจก็เป็นอิสระ
เหลือเพียงการอยู่กับปัจจุบัน ด้วยใจที่รู้สึกตัว