กิเลสในชีวิตประจำวัน

( Somboon )

ความเป็นผู้ตรงจึงได้สาระจากพระธรรม แต่การเป็นผู้ตรงนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยการฟังการศึกษาพระธรรมจนเป็นความรู้ความเข้าใจ ซึ่งต้องใช้เวลาไม่ว่าจะเป็นพระสูตร พระวินัย พระอภิธรรม เมื่อความรู้ความเข้าใจมากขึ้น ก็จะละในสิ่งที่ผิดๆ ได้ แม้จะรู้อยู่ว่าสิ่งนั้นผิดก็ยากที่จะละ เพราะยังเป็นตัวเราที่พยายามที่จะละ แต่ตามความจริงแล้วเป็นหน้าที่ของปัญญา ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเท่านั้น ที่จะละสิ่งผิดตามกำลังของปัญญา

กิเลสในชีวิตประจำวัน

ชีวิตประจำวันของบุคคลผู้ที่ยังเป็นปุถุชน หนาแน่นไปด้วยกิเลส ย่อมจะมีอกุศลเกิดขึ้นเป็นอย่างมาก เมื่ออกุศลเกิดจะไม่ปราศจากความไม่รู้ คืออวิชาเลย ซึ่งไม่ใช่เฉพาะในวันนี้ ในชาตินี้เท่านั้น แต่ว่าได้เป็นอย่างนี้มานานแล้วในสังสารวัฏฏ์ เพราะได้สะสมกิเลสมาอย่างมากมายนับชาติไม่ถ้วน จึงเป็นผู้ไหลไปด้วยอำนาจของกิเลส ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ กิเลสทั้งหลาย มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น เป็นสภาพธรรมที่มีโทษ ไม่มีประโยชน์ใดๆ กิเลสทุกประเภทเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต เมื่อเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ก็ทำให้จิตเศร้าหมอง และยังขจัด หรือทำลายซึ่งกุศลธรรม ไม่สามารถทำให้กุศลธรรมเกิดขึ้นเป็นไปในขณะนั้นได้ และถ้ามีกำลังมากถึงกับล่วงเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ ประทุษร้ายเบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน เป็นต้น
    กิเลสอย่างหยาบ (วีติกกมกิเลส) ปรากฎให้รู้ได้ในชีวิตประจำวันทั้งกับตนเอง และผู้อื่น เพราะมีการแสงดออกมาทางกายและวาจา เช่น การพูดเท็จ การพูดคำหยาบ การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ เป็นต้น
    กิเลสอย่างกลาง (ปริยุฏฐานกิเลส) ที่เกิดร่วมกับอกุศลจิต มี นิวรณ์ เป็นต้น แต่ไม่ได้แสดงออกมาทางกายและวาจา เพียงแต่เกิดกิเลสขึ้นมาภายในจิตใจ เช่น เกิดความยินดีพอใจในสิ่งที่ได้เห็น เกิดความขุ่นเคืองใจ แต่ไม่ได้ล่วงแสดงออกมาทางกาย วาจา ซึ่งสามารถรู้ได้ในชีวิตประจำวัน โดยผู้นั้นเองที่จะเป็นผู้รู้ ด้วยปัญญาเท่านั้นที่จะรู้ได้
    กิเลสที่ละเอียด (อนุสัยกิเลส) นอนเนื่องในสันดาน ไม่ปรากฎให้รู้ได้ในชีวิตประจำวัน เพราะเป็นการสั่งสมไว้ในจิต เปรียบเหมือเชื้อโรคที่ฝังตัวอยู่ในร่างกาย ไม่สามารถรู้ได้ ต่อเมื่อเกิดอาการของโรคแล้ว (ปริยุฏฐานกิเลส และวีติกมกิเลส) ย่อมรู้ได้ว่ามีสาเหตุจากเชื้อโรค ซึ่งอนุสัยกิเลสเป็นพืชเชื้อให้มีการเกิดขึ้นของกิเลสอย่างกลาง เช่น ความโกรธในใจ ดังนั้นอนุสัยกิเลส จึงเป็นกิเลสที่ละเอียดที่สุด ที่ไม่ปรากฎให้รู้ได้ในชีวิตประจำวัน แต่ถึงแม้ไม่สามารถที่จะรู้อนุสัยกิเลสได้ แต่ก็สามารถอบรมปัญญา เพื่อละอนุสัยกิเลสได้ ด้วยการเจริญสติปัฏฐาน ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ก็จะถึงปัญญาระดับสูงที่เป็นมรรคจิต ที่สามารถละอนุสัยกิเลสได้จริงๆ ปัญญาเท่านั้นที่จะรู้และละอนุสัยกิเลส ด้วยการอบรม ศึกษาพระธรรม
     เมื่อกล่าวอย่างกว้าง ๆ ก็เพราะยังมีอวิชชา จึงมีการกระทำที่เป็นบุญบ้าง เป็นบาปบ้าง ที่จะเป็นเหตุให้ได้รับผลที่ดี และไม่ดี ตามสมควรแก่เหตุ และยังเป็นเหตุให้กระทำกรรมต่อไป ซึ่งจะเป็นเหตุให้ได้รับผลต่อไปอีก ในสังสารวัฏฏ์ กิเลสเป็นสิ่งที่ละยาก และจะต้องมีปัญญา จึงละกิเลสได้ ถ้าปัญญาไม่เกิดก็ไม่มีทางดับกิเลส 
การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ นับว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้เจริญกุศลทุกประการ เนื่องจากว่าภูมิมนุษย์เป็นภูมิที่เอื้ออำนวยต่อการเจริญกุศลได้ ทั้งในเรื่องของทาน การให้ การสละวัตถุสิ่งของเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น ในเรื่องของศีล การรักษากาย วาจา ให้เป็นปกติเรียบร้อยดีงาม เว้นในสิ่งที่ควรเว้น และกระทำในสิ่งที่ควรกระทำ นอกจากนั้นแล้วในเรื่องของการอบรมเจริญปัญญา ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมจากผู้ที่เข้าใจพระธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อความเข้าใจในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงยิ่งขึ้น จนสามารถดับกิเลสได้ในที่สุด แม้จะเป็นเวลาอันยาวนานก็ตาม บุคคลผู้ที่น้อมประพฤติปฏิบัติตามได้อย่างนี้ ชีวิตย่อมจะมีค่า ไม่สูญเปล่า ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วได้กระทำในสิ่งที่ควรทำซึ่งเป็นประโยชน์ และจะเป็นที่พึ่งให้แก่ตนเองได้อย่างแท้จริง.

Related posts

ศึกษาธรรมะทีละคำ

ศีลสมาธิและปัญญา

ปัญญา