โลกธรรม

ถ้ารู้ว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เห็นว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หรือว่าเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ เป็นของธรรมดา และถ้าสามารถรู้จนกระทั่งว่า เป็นเพียงชั่วขณะจิตเดียว หลงยึดถือ สิ่งที่เกิดดับว่าเป็นเรา ว่าเป็นตัวตน เป็นของเรา ต่อเมื่อใด ปัญญาเจริญขึ้น คลายความยึดถือสภาพธรรมที่เกิดดับ และรู้ว่าไม่ว่าจะเป็นธรรมฝ่ายใด ก็เป็นแต่เพียง นามธรรม และ รูปธรรม ที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เท่านั้น

โลกธรรม

โลกธรรม คือ ความเป็นธรรมดาของโลก ที่จะต้องเป็นอย่างนี้เป็นธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบันและอนาคต ซึ่งโลกธรรม มี ๘ ประกอบด้วยลาภ ๑ ความเสื่อมลาภ ๑ ยศ ๑ ความเสื่อมยศ ๑ นินทา ๑ สรรเสริญ ๑ สุข ๑ ทุกข์ ๑
ในชีวิตประจำวัน ก็ไม่พ้นจากสภาพธรรมที่มีจริง เพราะมีสภาพธรรมที่มีจริง จึงมีโลกธรรม ๘ ประการ เพราะมี จิต เจตสิก รูป ที่เกิดขึ้น และดับไป จึงมีโลกธรรม คือ สิ่งที่สมมติว่าดี ก็คือ สิ่งที่เห็นที่ดี เสียงที่ดี กลิ่นที่ดี เป็นต้น ก็ชื่อว่า เป็นโลกธรรมฝ่ายดี และการเห็นสิ่งที่ไม่ดี เสียงที่ไม่ดี เหล่านี้ ก็คือ โลกธรรมฝ่ายเสื่อม เสื่อมจากสิ่งที่เห็นที่ดี นั่นเอง เพราะฉะนั้น การได้ทรัพย์สมบัติ หรือการเสื่อมจากทรัพย์ จึงเป็น สมมุติบัญญัติขึ้น ว่าเป็นลาภ เป็นการเสื่อมลาภ แท้ที่จริง เป็นเพียงสภาพธรรมที่ไม่พ้นจาก โลกทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ ที่เป็นแต่เพียงสภาพธรรมเท่านั้น จึงกล่าวได้ว่า ลาภ เสื่อมลาภ เป็นเพียงสมมติบัญญัติขึ้น จากสิ่งที่มีจริง ตามที่กล่าวมา, ยศ ความเสื่อมยศ ก็โดยนัยเดียวกัน เพียงเพราะคิดนึกเอาเองว่า ได้ยศ เสื่อมยศ แท้ที่จริง ก็เพียงเห็นในสิ่งดีและไม่ดี เป็นต้น ก็คิดนึกว่าได้ยศเสื่อมยศ ที่เป็นสมมติ บัญญัติ จากสิ่งที่มีจริง, นินทา สรรเสริญ ก็เป็นเพียงสมมติจาก เสียงที่ได้ยิน สมมติว่า เสียงนี้สรรเสริญ เสียงนี้นินทา จึงเป็นเพียงสมมติบัญญัติเท่านั้น แต่สิ่งที่มีจริง คือเป็นสภาพธรรมที่เป็นเสียงที่ปรากฎเท่านั้น สุข ทุกข์ ก็เช่นเดียวกัน เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็นเวนทนาเจตสิก เช่น สุขทางใจ ทุกข์ทางใจ เป็นต้น
ว่าโดยสรุป การเห็น ได้ยิน เป็นต้น ทั้งในสิ่งที่ดีและไม่ดี เป็นผลของกรรมที่ได้กระทำมาแล้ว ทั้งดีและชั่ว ไม่มีใครหลีกพ้นผลของกรรมได้ โลกธรรม ๘ จึงมีทั้งที่เป็น สมมติบัญญัติ และ เป็นปรมัตถ องค์ธรรม ที่เป็นเวทนาเจตสิก ที่เป็น สุข ทุกข์ แต่ โลกธรรม ๘ จะมีได้ ก็เพราะอาศัยสภาพธรรมที่มีจริง
ลักษณะของสภาพธรรม โดยพระธรรมที่ทรงแสดง เรื่องของ “โลกธรรม” เพราะอะไรทุกคนถึงได้ขวนขวายต้องการโลกธรรมฝ่ายดี ถ้าไม่ใช่เพื่อตัวเอง เพราะว่ามีความยึดมั่นในความเป็นตัวตนอย่างมาก เพราะฉะนั้นจึงเห็นว่า ลาภก็ดี ยศก็ดีสรรเสริญก็ดี สุขก็ดี เป็นเรา จึงขวนขวาย แต่ถ้ารู้ว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เห็นว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หรือว่าเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ เป็นของธรรมดา และถ้าสามารถรู้จนกระทั่งว่า เป็นเพียงชั่วขณะจิตเดียว ตัวตนอยู่ที่ไหน ไม่มีเลย หลงยึดถือ สิ่งที่เกิดดับว่าเป็นเรา ว่าเป็นตัวตน เป็นของเรา ต่อเมื่อใด ปัญญาเจริญขึ้น คลายความยึดถือสภาพธรรมที่เกิดดับ และรู้ว่าไม่ว่าจะเป็นธรรมฝ่ายใดก็เป็นแต่เพียง นามธรรม และ รูปธรรม ที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เมื่อเกิดแล้ว ดับแล้ว เราจะอยู่ที่ไหน ชั่วขณะเดียวที่ได้ยิน เมื่อกี้นี้อยู่ที่ไหน ก็ไม่มี  
   ฉะนั้นถ้าสามารถจะคลายความเป็นตัวตนได้  ก็จะเข้าใจว่า แม้ธรรมที่เป็น “โลกธรรม” ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงก็เกื้อกูล ในการที่จะคลายการยึดถือ สภาพธรรมว่าเป็นตัวตนได้ ดังนั้นจึงควรเริ่มที่การฟังพระธรรมการศึกษาพระธรรม การอบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้.

Related posts

ปัญญารัตนะ

อัตตสัญญาและอนัตตสัญญา

ชีวิตผู้ครองเรือน