( Somboon )
ต้องมั่นคงในเรื่องกรรมและผลของกรรม เพราะเป็นธรรมจริงๆ ถ้าเหตุดี ผลก็ต้องดี เหตุไม่ดี ผลก็ต้องไม่ดี แล้วมั่นคงในการที่จะทำความดีด้วยเพราะว่า เชื่อเรื่องกรรมแล้ว จะไม่ทำชั่ว
เจ้ากรรมนายเวร
เวลานี้ดูเสมือนว่าทุกคนจะเชื่อว่ามีเจ้ากรรมนายเวร แต่ตามความเป็นจริงนั้น ทุกคนเป็นทายาทของกรรมของตนเอง กรรมที่ได้กระทำแล้วในอดีตย่อมเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ผลเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผลดีที่กำลังได้รับความสุขทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็ไม่ใช่บุคคลอื่นบันดาลให้ แต่กุศลที่ผู้นั้นได้กระทำแล้วในอดีตเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัสสิ่งที่ดี ๆ
ฉะนั้น เมื่อกุศลให้ผล ก็ทำให้ได้รับความสุขทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็ฉันนั้น ถ้าถูกคนอื่นทำร้าย ก็อาจจะคิดว่าเพราะคนนั้นทำ แต่ถ้าไม่ได้ถูกใครทำร้ายเลย เวลาตกบันไดหรือเจ็บป่วยต่าง ๆ นั้น ใครทำให้ เป็นเจ้ากรรมนายเวรเราหรือไม่ ขณะที่เกิด ที่เป็นผลของกรรม มีเจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้เกิดหรือไม่ หรือว่าเพราะกรรมของเราเองที่ทำไว้ จึงทำให้เกิด ฉะนั้นแต่ละคนจึงมีกรรมของตนเอง เป็นเหตุเป็นปัจจัยที่จะทำให้ผลของกรรมเกิดขึ้นรับรู้อารมณ์ต่าง ๆ สิ่งต่างๆ ที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย
เรื่องเจ้ากรรมนายเวร จึงเป็นเรื่องรับฟังต่อ ๆ กันมา โดยไม่รู้ว่าใคร เพียงแต่นึกว่ามีบุคคลที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้เป็นทุกข์เดือดร้อนต่าง ๆ แต่ความจริงนั้น ทุกคนมีกรรมเป็นของของตนเอง ซึ่งเรื่อง การผูกเวร ก็มีตัวอย่างให้พิจารณา ดังนี้
ตัวอย่างพระเทวทัตจองเวรพระพุทธเจ้า กลิ้งหินลงมาโดนพระบาทจนถึงกับห้อพระโลหิต ซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้ว่าเพราะในอดีตชาติเมื่อครั้งยังทรงเป็นพระโพธิสัตว์ ทรงเคยทำให้น้องชายต่างมารดาสิ้นชีวิตเพราะเหตุแห่งทรัพย์ โดยจับโยนลงในซอกเขา แล้วทับด้วยหิน ด้วยเหตุนี้ เศษของกรรมทำให้พระองค์ได้รับการทำร้ายจากพระเทวทัต ด้วยสะเก็ดหินที่กระทบนิ้วแม่พระบาทจนห้อพระโลหิต
นี่แสดงว่า พระพุทธเจ้าทรงมีกรรมเป็นของพระองค์เอง ไม่มีเจ้ากรรมนายเวรไหน มาทำให้เลย แม้ความผูกโกรธ ก็เป็นความโกรธของพระเทวทัตเอง ไม่สามารถทำอะไรได้อย่างแท้จริง แต่เพราะอกุศลกรรมที่พระองค์ทรงเคยทำ ทำให้พระองค์ได้รับวิบากที่ไม่ดี
หากเข้าใจความจริง ก็ต้องประกอบกับพระอภิธรรมด้วย เพราะในความเป็นจริงแล้ว สัตว์ บุคคลไม่มี มีแต่ธรรม และที่สมมติว่าเป็นใครก็เพราะมีสภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิกประชุมรวมกัน เป็นสภาพธรรมที่สืบต่อกัน เป็นจิตที่เกิดดับเนื่องกัน ชาตินี้ของเราเมื่อสิ้นชีวิตลง บุคคลนี้ลักษณะอย่างนี้ ก็จะไม่กลับมาอีกเลย เป็นคนใหม่ทันที ที่สมมติกัน เพราะฉะนั้น ต่างคนก็มีกรรมเป็นของ ๆ ตน จึงไม่มีเจ้ากรรมนายเวรตามที่เข้าใจ แต่พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่าบุคคลนี้ที่เคยเจองเวร ก็ยังมีความผูกโกรธอยู่ได้ เกิดได้อีกชาติหนึ่ง เพราะอาศัยการสะสมของจิตและเจตสิกที่เกิดดับสืบต่อกันนั่นเอง แต่การจะได้รับผลของกรรม ก็เป็นเพราะกรรมของผู้นั้นเอง ไม่ใช่เพราะการผูกโกรธของคนที่จองเวรเป็นปัจจัย เพราะฉะนั้น จะต้องแยกระหว่างเหตุและผล ความผูกโกรธ ซึ่งมีจริง เป็นความผูกโกรธของคนนั้น แต่ความผูกโกรธไม่สามารถทำให้คนที่ถูกโกรธได้รับผลของกรรม แต่อกุศลกรรมของผู้ที่ได้รับความผูกโกรธนั่นเองที่เป็นเจ้าของกรรม คนที่ผูกโกรธไม่สามารถทำอะไรได้ และ ไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวร ดังนั้น เจ้ากรรมนายเวรจึงไม่มีในคำสอนของพระพุทธเจ้า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของ ๆ ตน ไม่มีใครเป็นเจ้ากรรมนายเวร.