( Somboon )
แต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ถ้าศึกษาด้วยความละเอียด รอบคอบ นำไปสู่ความเข้าใจที่ถูกต้อง ในความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม คือ เป็นธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
สติสัมปชัญญะ
ก็ต้องมีความเข้าใจให้ชัดเจนจริง ๆ ก่อนอื่นก็ต้องกล่าวถึง สติสัมปชัญญะ ในภาษาไทยที่ใช้กันทั่วไปที่เข้าใจกัน หมายถึง เป็นผู้มีสติไม่ฟั่นเฟือน หรือมีสติในการทำงานต่างๆ ไม่หลงลืม หรือเป็นผู้ไม่เผอเลอไม่ประมาท เช่น เดินข้ามถนนรถไม่ชน เป็นต้น ส่วนใหญ่ก็ไม่เป็นไปในกุศลแต่อย่างใด ซึ่งไม่ตรงกับความหมายที่แท้จริงในทางพุทธ
สติ และ สัมปชัญญะ ต่างก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป เป็นนามธรรม ไม่ใช่รูปธรรม สติ เป็นสภาพธรรมที่ระลึกเป็นไปในกุศล เกิดร่วมกับจิตที่ดีงามทุกประเภทไม่มีเว้น ส่วนสัมปชัญญะ เป็นอีกชื่อหนึ่งของปัญญา เป็นความไม่หลง เป็นความรู้ถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง (ปัญญาเจตสิก) สติสัมปชัญญะ มักจะเป็นคำที่ใช้คู่กัน โดยจะใช้ในเรื่องของการอบรมเจริญภาวนา ๒ อย่าง คือ การอบรมเจริญความสงบของจิต ที่เป็นสมถภาวนา และ การอบรมปัญญาที่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ที่เป็นวิปัสสนาภาวนา หรือ สติปัฏฐาน เพราะตามความเป็นจริงแล้ว สติเกิด โดยไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วยก็ได้ แต่เมื่อสัมปชัญญะเกิดก็จะต้องมีสติเกิดร่วมด้วยเสมอ ขณะนี้มีสภาพธรรมที่มีจริงเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอด เมื่ออาศัยเหตุที่สำคัญ คือ การฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก ก็จะเริ่มเข้าใจความเป็นจริงของสภาพธรรมยิ่งขึ้นว่า ทุกขณะมีแต่ธรรมเท่านั้น ไม่มีเราแทรกอยู่ในสภาพธรรมเหล่านั้นเลย เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมก็ย่อมจะเป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะเกิดขึ้นได้โดยที่สติทำกิจระลึกที่ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง และปัญญาทำกิจรู้ตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้น ๆ เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยจริง ๆ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
สรุปได้ว่า สติ เป็นเจตสิกประเภทหนึ่ง เกิดกับจิตที่ดีงาม สัมปชัญญะ เป็นอโมหะเจตสิกหรือปัญญา สติสัมปชัญญะ มักเป็นคำที่ใช้คู่กัน โดยจะใช้ในเรื่องของการอบรมภาวนา ขั้นสมถภาวนา และวิปัสสนาภาวนา (สติปัฏฐาน) สติเกิดโดยไม่มี สัมปชัญญะ (ปัญญา)ได้ แต่เมื่อสัมปชัญญะ (ปัญญา) เกิดจะต้องมีสติเกิดด้วยเสมอ เพราะสติเป็นสภาพธัมมะที่เกิดกับจิตที่เป็นกุศลเสมอ แต่ปัญญาไม่เสมอไป เมื่อเราพิจารณาคำนี้ จะทำให้เข้าใจเรื่องการอบรมวิปัสสนา (สติปัฏฐาน) ว่าเป็นเรื่องของปัญญาจริงๆ (มีสัมปชัญญะ) และต้องรู้ว่า สติระลึกอะไร สัมปชัญญะ (ปัญญา) รู้อะไร ก็รู้สภาพธัมมะที่มีในขณะนี้เอง ว่าเป็นธัมมะ ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น พระพุทธศาสนา จึงเป็นเรื่องของปัญญา มิใช่ขั้นทาน และศีลเท่านั้น
ที่กล่าวถึงสติสัมปชัญญะ และลักษณะของสติสัมปชัญญะ จะแยกเลยว่า ลักษณะของสติ เป็นอย่างไร กิจของสติ เป็นอย่างไร อาการปรากฏของสติ เป็นอย่างไร และ ลักษณะของสัมปชัญญะ เป็นอย่างไร กิจของสัมปชัญญะ เป็นอย่างไร แต่เวลาที่พูดรวมกัน สติสัมปชัญญะ ต้องหมายความถึง สติเจตสิก และ ปัญญาเจตสิก ซึ่งขณะใดที่มีความเข้าใจที่ถูกต้องเกิดขึ้น ขณะนั้นไม่ใช่มีแต่สติเจตสิกเท่านั้น เมื่อมีการพิจารณาในเหตุผล และมีความเข้าใจ ในขณะนั้นก็ต้องเป็น สติสัมปชัญญะ คือต้องมี ปัญญาเจตสิก ซึ่งเป็นสัมปชัญญะเกิดร่วมกับสติ นั้นด้วย
เมื่อกล่าวถึงสติปัฏฐานแล้ว จะต้องมีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วยเสมอ แต่ที่ปัญญา จะเจริญได้จนถึงขั้น สติปัฏฐาน ก็ต้องเริ่มจากการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมให้เข้าใจถูกต้องเสียก่อน และ ปัญญาจะเจริญขึ้น ต้องเป็นไปตามลำดับขั้น
การศึกษาพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ต้นเป็นทางที่จะมีปัญญาเจริญขึ้นในขั้นต่อไป ที่เป็นขั้นระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง จนถึงขั้นประจักษ์แจ้งความจริงดับกิเลสตามลำดับขั้นได้ ไม่หลงผิดทำตามๆ กัน โดยไม่มีความรู้ความเข้าใจ.