พระธรรมทั้งหมดทรงแสดงให้เข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ เท่าที่กำลังของสติปัญญาจะเข้าใจได้ และ อบรมต่อไป เพราะคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ เปลี่ยนไม่ได้เลย เป็นความจริงถึงที่สุด
วัตถุ
คำว่า วตฺถุ เป็นคำภาษาบาลี มีหลายความหมาย เช่น หมายถึง สิ่งของ, ที่ตั้ง, เรื่องราว, ที่เกิดของจิต ในที่นี้จะขอนำเสนอในความหมายว่า ที่เกิดของจิต เพราะในภูมิที่มีขันธ์ ๕ จิตจะต้องเกิดที่รูป อันเป็นวัตถุรูป ๖ รูป ตามควรแก่จิตประเภทนั้นๆ
ข้อความใน สัมโมหวิโนทนี อรรถกถาพระอภิธรรมปิฎก วิภังคปกรณ์ แสดงไว้ว่า “วิญญาณ ๕ มีจักขุวิญญาณ มีจักขุวัตถุเป็นต้น เป็นที่อาศัยเกิดทีเดียว, มโนวิญญาณ มีหทยวัตถุเป็นที่อาศัยเกิดบ้าง ไม่มีหทยวัตถุเป็นที่อาศัยเกิดบ้าง วิญญาณทั้งหมด เป็นวิญญาณเป็นไปในภูมิ ๔ (กามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ โลกุตตรภูมิ)”
ชีวิตของแต่ละคนในชาตินี้เริ่มที่ปฏิสนธิจิต ขณะแรกที่จิตเกิด มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย เพราะจิตกับเจตสิกไม่แยกจากกัน จิตอาศัยเจตสิกปรุงแต่ง เจตสิกก็อาศัยจิตเกิดขึ้น เกิดพร้อมกันในขณะนั้น โดยเป็นผลของกรรมที่ได้ทำแล้ว ในขณะแรกที่เกิดต้องมีจิต เจตสิก แล้วมีรูปที่เกิดพร้อมกันกับปฏิสนธิจิต ซึ่งจะเป็นปัจจัยให้รูปนั้นเกิดดับสืบต่อ จนกระทั่งเป็นแต่ละบุคคลในขณะนี้
เพราะฉะนั้น เจตนาที่กระทำกรรมนั้น เป็นปัจจัยที่จะให้จิต เจตสิกและรูปเกิดขึ้นในภพหนึ่ง แล้วแต่ว่ากรรมนั้นจะเป็นกรรมอะไร ถ้าเป็นกรรมที่ถึงความสงบของจิตเป็นฌานขั้นต่างๆ ในระดับขั้นที่ไม่ติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะได้ ก็ต้องอาศัยปัญญาระดับหนึ่งที่เมื่อให้ผล ไม่ให้เกิดในโลกนี้ แต่จะทำให้เกิดในพรหมโลก กล่าวได้ว่าทุกคนที่เกิดในโลกนี้เป็นผลของกุศลกรรมหนึ่ง เป็นผลของทานก็ได้ เป็นผลของศีลก็ได้ เป็นผลของการฟังพระธรรมก็ได้ (ขณะที่เข้าใจพระธรรม เป็นกุศลกรรมที่ประกอบด้วยปัญญา) แต่ขณะที่เกิดนั้นไม่ได้มีเฉพาะจิตกับเจตสิก แต่มีรูปเกิดด้วย แต่เป็นรูปที่เกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน และต้องมีรูปอื่นๆ หลังจากนั้น คือจักขุปสาทะ (ตา) โสตปสาทะ (หู) เป็นต้น แม้จิตขณะแรก ยังต้องเกิดที่รูปที่กรรมเป็นปัจจัยให้เกิด รูปที่เป็นที่เกิดของจิตในขณะปฏิสนธิเรียกว่า หทยรูป และก็ใช้คำว่า หทยวัตถุ ใช้คำว่า วัตถุ ย่อมหมายเอาเฉพาะรูปที่เป็นที่เกิดของจิต แต่ถ้าไม่กล่าวถึงวัตถุ ก็เป็นรูปธรรมดา ถ้ากล่าวว่า จักขุวัตถุ คือ รูปนั้นเป็นที่เกิดของจักขุวิญญาณ (จิตเห็น) เพราะเหตุว่าจักขุปสาทะ เกิดจากกรรม รูปที่เกิดเพราะกรรมเกิดทุกอนุขณะของจิต ขณะนี้ หรือขณะนอนหลับ จักขุปสาทะก็มี แต่ไม่เป็นที่เกิดของจักขุวิญญาณ เพราะว่าจิตเห็นไม่ได้เกิด แต่ขณะใดที่จิตเห็นเกิด จิตเห็นจะเกิดที่ไหนไม่ได้ นอกจากเกิดที่ จักขุปสาทรูป ซึ่งขณะที่เป็นที่เกิดของจิตเห็น ก็เรียกว่า จักขุวัตถุ
เพราะฉะนั้น รูปอันเป็นที่เกิดของจิต มี ๖ รูป คือ จักขุวัตถุ เป็นที่เกิดของจิตเห็น กุศลวิบาก ๑ ดวง อกุศลวิบาก ๑ ดวง โสตวัตถุเป็นที่เกิดของจิตได้ยิน กุศลวิลาก ๑ ดวง อกุศลวิบาก ๑ ดวง ฆานวัตถุเป็นที่เกิดของจิตได้กลิ่น กุศลวิบาก ๑ ดวง อกุศลวิบาก ๑ ดวง ชิวหาวัตถุเป็นที่เกิดของจิตลิ้มรส กุศลวิบาก ๑ ดวง อกุศลวิบาก ๑ ดวง ถ้าขณะนี้อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหวกำลังปรากฏเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย กายวิญญาณก็เกิดที่กายปสาทะซึ่งขณะนั้นเป็นกายวัตถุ กรรมทำให้กายปสาทะเกิดซึมซาบอยู่ทั่วตัว กายวัตถุจึงเป็นที่เกิดของกายวิญญาณ กุศลวิบาก ๑ ดวง และ อกุศลวิบาก ๑ ดวง รวมเรียกจิต ๑๐ ดวงนี้ว่า ทวิปัญจวิญญาณ (จิต ๕ อันเป็นกุศลวิบาก และ อกุศลวิบาก) จิตอื่นๆ นอกจากนี้เกิดที่หทยวัตถุ เพราะฉะนั้น ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ จิตจะเกิดนอกรูปไม่ได้ ตั้งแต่ขณะแรกที่เกิด และขณะต่อ ๆ ไป จิตก็ต้องเกิดที่รูปหนึ่งรูปใดใน ๖ รูป ไม่ใช่รูปอื่นนอกจากนี้ เมื่อเข้าใจอย่างนี้ก็พิจารณาได้ว่า โลภมูลจิต โทสมูลจิต โมหมูลจิตเกิดที่หทยวัตถุ กุศลจิต อกุศลจิตเกิดที่หทยวัตถุ
ทั้งหมดประมวลมาแล้วก็เพื่อให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ธรรมะเป็นธรรมะ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เกิดแล้วดับอย่างรวดเร็ว จนลวงให้เห็นว่าไม่ดับ จึงทำให้เข้าใจผิดว่าเที่ยงทำให้เข้าใจผิดว่าไม่ดับ จนกว่าสัญญาที่เป็นอัตตสัญญา ความจำว่าเป็นตัวตน หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่สะสมมาอย่างเนิ่นนานจะค่อย ๆ คลายไปทีละเล็กทีละน้อย ก็ต้องอาศัยปัญญา ความเข้าใจจากขั้นการฟัง จนกระทั่งสามารถรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ จนสามารถประจักษ์แจ้งในทุกคำที่ทรงแสดง ทั้งหมดที่เป็นวาจาสัจจะ เพื่อความเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริงว่า เป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน.