พระไตรปิฎก

หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ทรงตั้งพระธรรมวินัยไว้เป็นพระศาสดาแทพระองค์ ธรรมที่ทรงแสดงไว้ยังเป็นเช่นเดิม แต่ระดับสติปัญญาบารมี ความสนใจในธรรมของคนเปลี่ยนแปลงไป ทำให้การตีความพระธรรมวินัย ตามความเข้าใจของตนเองเกิดขึ้น แล้วสอนสืบต่อกันตามความเข้าใจที่ต่างกันนั้นเรียกว่า “อาจริยวาท”

พระไตรปิฎก

พระไตรปิฎก คือ คัมภีร์หรือตำราที่จารึกหลักธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา ซึ่งพระสาวกได้ศึกษาสืบทอดมา ตั้งแต่สมัยครั้งพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน พุทธบริษัทควรศึกษาพระไตรปิฎกโดยตรง และควรศึกษาอรรถกถา ที่อธิบายเนื้อความของพระไตรปิฎก เพื่อเป็นหลักในการตรวจสอบข้อปฏิบัติของเราว่า ตรงกับคำสอนหรือไม่ ถ้าไม่ตรงไม่ควรถือเอา
 พระพุทธดำรัสที่ว่า “ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นตถาคต” หมายถึง การเห็นธรรมรู้แจ้งธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสรู้ คือโลกุตตรธรรม ๙ ขั้นปฏิเวธ เป็นผลของการเจริญธรรมขั้นปฏิบัติ การเจริญธรรมขั้นปฏิบัติต้องอาศัยปริยัติ 
     ปริยัติ คือการศึกษาพระธรรมวินัย จึงเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งเป็นทางนำไปสู่พระพุทธศาสนาขั้นปฏิบัติและขั้นปฏิเวธ เป็นลำดับไป
     พระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาค คือพระธรรมวินัยแบ่งเป็น ๓ ปิฏก คือ พระวินัย พระสูตร  และพระอภิธรรม  
     พระพุทธวจนะในพระไตรปิฎกโดยสภาพแห่งธรรมแล้ว เป็นสัจธรรมที่ทรงแสดงว่า เป็นธรรมที่ลึกซึ้งรู้ได้ยาก รู้ตามเห็นตามได้ยาก สงบประณีต ไม่อาจจะรู้ได้ด้วยการตรึก ละเอียด เป็นธรรมอันบัณฑิตจะรู้ได้ เพราะสภาวะแห่งธรรมมีลักษณะดังกล่าว จึงจำต้องชี้แจงให้เกิดความเข้าใจ ทั้งโดย อรรถะและพยัญชนะ เพื่อให้สามารถหยั่งรู้ธรรมทั้งหลายตามความเป็นจริงในเรื่องนั้นๆ
    เนื่องจากพื้นเพอัธยาศัยของคนแตกต่างกันในด้านต่างๆ ซึ่งทรงอุปมาไว้เหมือนดอกบัว ๔ เหล่าพระพุทธเจ้าจึงทรงมีวิธีในการแสดงธรรม ตามอาการสอนธรรมของพระองค์ ๓ ประการ คือ
๑. ทรงสอนให้ผู้ฟังรู้ยิ่งเห็นจริง ในสิ่งที่ควรรู้ควรเห็น
๒. ทรงแสดงธรรมมีเหตุที่ผู้ฟังอาจตรองตามให้เห็นจริงได้
๓. ทรงแสดงธรรมเป็นอัศจรรย์ คือผู้ปฏิบัติตามจะได้รับประโยชน์ตามสมควรแก่การประพฤติปฏิบัติ แต่เพราะพระพุทธเจ้าทรงประกอบด้วยปาฏิหาริย์ ทรงฉลาดในโวหาร เพราะทรงเป็นเจ้าแห่งธรรม ก่อนจะทรงแสดงธรรมแก่ใคร ทรงตรวจสอบภูมิหลังด้านต่าง ๆ ของคนเหล่านั้นด้วยพระญาณแล้ว ผลจากการฟังในพุทธสำนักจึงไม่มีปัญหาว่า คนฟังจะไม่เข้าใจ ผลจากการฟังธรรมสมัยพุทธกาลจึงมีความอัศจรรย์ 
หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ทรงตั้งพระธรรมวินัยไว้เป็นพระศาสดาแทนพระองค์ ธรรมที่ทรงแสดงไว้ยังเป็นเช่นเดิม แต่ระดับสติปัญญาบารมี ความสนใจในธรรมของคนเปลี่ยนแปลงไป ทำให้การตีความพระธรรมวินัย ตามความเข้าใจของตนเองเกิดขึ้น แล้วสอนสืบต่อกันตามความเข้าใจที่ต่างกัน นั้นเรียกว่า “อาจริยวาท” จนทำให้สูญเสียความเสมอกันในด้านศีล และทิฐิ ครั้งแล้วครั้งเล่า บางสมัยเกิดแตกแยกกันเป็นนิกายต่าง ๆ ถึง ๑๘ นิกาย
     ในการอธิบายธรรมประเภท “อาจริยวาท” คือ ถือตามที่อาจารย์ของตนสอนไว้กับอัตโนมติ ว่าไปตามมติของตนกันมากขึ้น ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะพระคัมภีร์พระพุทธศาสนาที่เป็นหลักสำคัญ คือ พระไตรปิฎก และอรรถกถามีไม่แพร่หลาย อรรถกถาส่วนมากยังเป็นภาษาบาลี คนมีฉันทะในภาษาบาลีน้อยลง สำนวนภาษาบาลีที่แปลออกมาแล้ว ยากต่อการทำความเข้าใจของคนที่ไม่ได้ศึกษามาก่อน ขาดกัลยาณมิตรที่เป็นสัตบุรุษในพระพุทธศาสนา เป็นต้น
     การอธิบายธรรมที่เป็นผลจากการตรัสรู้ ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เป็นอันตรายมาก เพราะโอกาสที่จะเข้าใจผิด พูดผิด ปฏิบัติผิดมีได้ง่าย พระไตรปิฎกเป็นเหมือนรัฐธรรมนูญ กฎหมายทั่วไปจะขัดแย้งกับกฎหมายรัฐธรรมนูญไม่ได้ฉันใด การอธิบายธรรมขัดแย้งกับพระไตรปิฎก พุทธศาสนิกชนที่ดีย่อมถือว่าทำไม่ได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นการศึกษาพระธรรม ก็ต้องรอบรู้กว้างขวาง ในพระไตรปิฏก ไม่หลงเชื่อตามๆ กัน ในคำสอนที่ผิดเพี้ยน แม้ผู้ที่แสดงจะเป็นที่เคารพนับถือของคนเป็นจำนวนมากก็ตาม.

Related posts

ปัญญารัตนะ

อัตตสัญญาและอนัตตสัญญา

ชีวิตผู้ครองเรือน