( Somboon )
ภิกษุใดรับเงินและทอง หรือทำกิจที่ไม่ควร ในครั้งพุทธกาล คฤหัสถ์เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา เพ่งโทษให้รู้ว่าเป็นโทษ เพราะนั่นไม่ใช่บรรพชิต ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย
เทวรูปบูชาไม่ใช่พุทธ
พุทธบริษัท ต้องศึกษาธรรมให้เข้าใจถูกต้องเพื่อที่จะดำรงรักษาไว้ซึ่งบริษัทหนึ่งบริษัทใดที่ประพฤติผิด ให้ทำสิ่งที่ถูกต้อง
แต่ละคนที่ไม่รู้ ก็ทำให้เกิดวิกฤต เพราะเหตุว่าแทนที่จะเข้าใจพระธรรมวินัย ก็กลับส่งเสริมและทำลายพระธรรมวินัยด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจ และจริงใจ แล้วก็เป็นผู้ตรง แม้แต่ความตรง ความจริงใจและความเข้าใจ ให้ประโยชน์กับตนเองในขณะที่ฟังสามารถที่จะรู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด เพราะนอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วใครจะกล่าวความถูกความผิดอย่างละเอียดยิ่ง
ที่มีการสร้างสิ่งต่างๆ ตามวัด เช่น เทวรูปต่างๆ เป็นต้น สร้างทำไม ทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพุทธ และ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือเห็นผิด ไม่ตรงตามพระธรรมวินัย บูชาใคร จึงสร้างสิ่งเหล่านั้นไว้ สร้างไว้ให้กราบไหว้ เพื่อขอสิ่งต่างๆ ตามที่ตนต้องการ ก็ไม่มีเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากความเห็นผิด แล้วก็เป็นการชักชวนให้คนเห็นผิด หาเงินเข้าวัดใช่ใหม ไม่ใช่ให้เข้าใจพระธรรม ไม่ใช่กิจของภิกษุ
หากมีการนับถือเทพเจ้าองค์ต่างๆ ด้วยความสำคัญว่า เทพเจ้าเหล่านั้นเป็นศาสดา ส่วนพระพุทธเจ้า ไม่ได้สามารถที่จะช่วยให้พ้นทุกข์จึงเปลี่ยนจากการนับถือพระพุทธเจ้า เป็นการนับถือเทพเจ้าแทน อันนี้ก็เป็นการเปลี่ยนศาสดา เป็นอัญญสัตถารุทเทส ก็คือการนับถือศาสนาอื่น ศาสดาอื่น ส่วนคนที่จัดให้มีการไหว้เทพเจ้า หากมีความปรารถนาให้ผู้อื่นนับถือศาสดาอื่น ไม่ใช่พระพุทธเจ้า ก็เป็นการส่งเสริม การนับถือลัทธิ ศาสดาอื่นที่เป็น อัญญสัตถารุทเทส แต่โดยทั่วไป ที่เขาให้สร้างรูปเทวดา เทพเจ้าต่างๆ จุดประสงค์ก็คืออยากได้เงินเข้าวัด จึงพยายามชักจูงให้มาไหว้ นับถือเทพเจ้า แต่ไม่ได้มีจุดประสงค์ มีเจตนาที่จะให้ผู้ที่มาไหว้เทพเจ้าในวัด เปลี่ยนการนับถือพระพุทธเจ้า จึงไม่ใช่ อัญญสัตถารุทเทส ในกรณีนี้ ต่างจากบางศาสนาที่รู้ว่าผู้นั้นนับถือศาสนาอื่นอยู่ จึงพา ชักชวนให้มีการไหว้ การให้นับถืออย่างอื่นเพื่อให้เปลี่ยนศาสนา ก็เป็นการชักชวนให้นับถือศาสดาอื่น ลัทธิอื่น เป็นการชักชวนที่เป็น อัญญสัตถารุทเทส และเมื่อผู้ที่ถูกชักชวนเปลี่ยนศาสนาจากที่ถูกเป็นผิด จากที่เคยมีพระพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นสิ่งอื่นไป ผู้นั้นจึงเป็น อัญญสัตถารุทเทส ก็คือการนับถือศาสนาอื่น ศาสดาอื่น ซึ่งปุถุชนก็ยังเปลี่ยนได้เป็นธรรมดา ตราบใดที่ไม่ใช่พระโสดาบัน
แม้จากการที่วัดให้สร้างเทพเจ้า ก็สามารถเป็นและไม่เป็นอัญญสัตถารุทเทส ตามที่กล่าวมาข้างต้น แต่แม้ไม่เป็นการให้นับถือในสิ่งที่คิดว่าเทพเจ้า เทวดาจะบันดาลได้ ก็เป็นสิ่งทีผิด ชักชวนในสิ่งที่ผิด ไม่ตรงตามพระธรรม ก็เป็นความเห็นผิดและชักชวนในสิ่งที่ผิดทำให้ผู้อื่นเห็นผิดด้วยก็เป็นโทษมากบาปมาก เป็นอสัตบุรุษยิ่งกว่าอสัตบุรุษ และก็ทำให้พระศาสนาอันตรธานเร็วขึ้น เพราะทำให้ผู้อื่นมีความเข้าใจผิด ไม่เลื่อมใส ไม่ให้ศึกษาพระธรรมนั่นเอง
ภิกษุใดรับเงินและทอง หรือทำกิจที่ไม่ควร ในครั้งพุทธกาล คฤหัสถ์เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา เพ่งโทษให้รู้ว่าเป็นโทษ เพราะนั่นไม่ใช่บรรพชิต ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย ภิกษุในธรรมวินัยสละชีวิตแล้วเพื่อที่จะศึกษาพระธรรม ซึ่งจะต้องศึกษาพระธรรม ไม่อย่างนั้นจะบวชทำไม คฤหัสถ์ยังฟังธรรม แต่ก็รู้ว่าไม่บวช เพราะเหตุว่าไม่ได้สะสมมาที่จะขัดเกลากิเลสในเพศของบรรพชิต เพราะฉะนั้น ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา จึงมีทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต ตามอัธยาศัย
ถ้าจะดำรงรักษาพระพุทธศาสนาไว้ ก็คือ เข้าใจคำสอนโดยพุทธบริษัททั้งหมด ภิกษุไม่ใช่เพียงแต่จะศึกษาธรรมเพื่อที่จะประกาศธรรมให้คฤหัสถ์ซึ่งมีเวลาน้อยกว่าได้เข้าใจถูกต้อง แต่ยังจะต้องประพฤติขัดเกลากิเลสยิ่งกว่าคฤหัสถ์ด้วย.
