Home » ละความเป็นตัวตน

ละความเป็นตัวตน

( Somboon )

by Pakawa

สภาพธรรมที่เกิดแล้วดับไปนั้นเป็นทุกข์ เป็นทุกข์เพราะเหตุว่าตั้งอยู่ไม่ได้ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา และเป็นอนัตตา คือไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร สติและปัญญาเท่านั้น ที่จะทำกิจหน้าที่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง

ละความเป็นตัวตน

การศึกษาธรรมจะช่วยให้เราเป็นผู้ตรงต่อความจริง การที่จะบรรลุอริยสัจธรรมได้ อุชุปฏิปันโน เป็นคุณธรรมของผู้ที่จะเป็นพระโสดาบัน ต้องเป็นผู้ตรง เพราะว่าถ้ามีความเป็นเรา เพราะโลภะ ยึดถือเรา แล้วก็ยังมีทิฏฐิเกิดร่วมด้วย หรือว่ามีมานะ มีความสำคัญตนก็ได้ เพราะว่าความเป็นเรา มี ๓ อย่าง เราด้วยโลภะ เราด้วยทิฏฐิ หรือว่าเราด้วยมานะ
เพราะฉะนั้น พระธรรมทั้งหมดที่ศึกษาเพื่อที่จะรู้จักตัวเองตามความเป็นจริง ไม่มีเรา แต่มีสภาพธรรมะแต่ละอย่างที่ปรากฏ ซึ่งความจริงก็เป็นธรรมะทั้งหมดอยู่แล้ว อย่างเช่น โทสะ ก็เป็นสภาพธรรมะอย่างหนึ่ง มีลักษณะเฉพาะลักษณะที่เป็นโทสะ ความขุ่นเคือง ความหยาบกระด้าง ไม่ใช่ลักษณะของโลภะ ซึ่งเป็นความติดข้อง ไม่ใช่ลักษณะของความตระหนี่ ไม่ใช่ลักษณะของเมตตา คือ สภาพธรรมะแต่ละอย่างเป็นธรรมะทั้งหมดในชีวิตประจำวัน มีปัจจัยก็เกิดขึ้นปรากฏลักษณะของสภาพธรรมะนั้นๆ แต่ความไม่รู้ ทำให้ยึดถือสภาพธรรมนั้นๆ ว่าเป็นเรา
ไม่มีหนทางอื่น อย่าไปคิดว่าจะให้ทำอย่างไร หรือไม่ให้ทำอย่างไร จึงจะละความเป็นตัวตนได้ แต่ว่าค่อย ๆ เข้าใจถูกต้องตรงตามความเป็นจริงขึ้น ขณะใดที่เข้าใจถูก ก็ไม่ใช่เรา แต่ว่าเป็นปัญญาที่เริ่มเจริญ เริ่มเข้าใจถูกและการอบรมเจริญปัญญาให้ย้อนกลับไปคิดถึงที่ผ่านมาแล้วว่า เราได้อบรมเจริญปัญญาอย่างนี้หรือเปล่า หรือว่าเรากำลังเริ่ม หรือว่าเราได้สะสมปัจจัยมา ที่จะไม่เห็นผิด แต่ว่าต้องเป็นผู้ละเอียดที่จะพิจารณาธรรมะว่า เป็นเรื่องที่ละเอียด แล้วก็เป็นปกติ จะไปฝืนอัธยาศัยที่สะสมมาได้ไหม แต่ละคนไม่มีทางเลย
ดังนั้น จึงไม่มีการคิดว่า เราจะทำอะไร เพราะว่าขณะที่คิดว่า เราจะทำอะไร ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้คิดอย่างนั้น ซึ่งไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต เกิดเพราะเหตุปัจจัยที่ได้สะสมมา ผู้ที่เข้าใจจริงๆ ก็สามารถที่จะรู้ความเป็นอนัตตา ซึ่งไม่มีใครไปทำอะไรได้เลย บังคับไม่ได้ เวลาที่กล่าวถึงวิถีจิตที่เห็นว่า เกิดสืบต่อรวดเร็ว ไม่มีใครจะไปเปลี่ยนแปลงลักษณะและกิจการงานของจิตแต่ละประเภทได้
การพยายามที่จะเร่งรัด แทนที่จะรู้ว่า ค่อย ๆ เข้าใจนั้นคืออย่างไร อย่างสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ทุกคนก็บอกว่ายากมาก ฟังมาเท่าไรก็ยังเห็นเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เพราะเหตุว่าต้องมีเห็น แล้วก็ต้องมีการคิดนึก ซึ่งต่างกัน แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีเห็น มีแต่เพียงคิดนึก หรือว่าไม่ใช่มีแต่เห็น โดยไม่มีการคิดนึกเลยก็ไม่ใช่ แต่ต้องรู้ว่า เมื่อเห็นแล้วคิด แต่ว่าเห็นไม่ใช่คิด นี่คือความรวดเร็วของสภาพธรรมะที่ปรากฏ ทางตาฉันใด ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็รวดเร็วฉันนั้น
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า จิตเป็นมายากล ไม่มีอะไรเลย นอกจากธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางตาก็เห็น ทางหูก็ได้ยิน แล้วก็ทางใจก็คิดนึกเรื่องราวของสิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยิน ทำให้เหมือนนายมายากลที่เหมือนกับว่า มีสิ่งต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่มี แต่ก็ยังคงทรงจำว่า มีอยู่
นี่ก็เป็นเรื่องที่ต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ ด้วยความไม่รีบร้อนด้วยการรู้ว่า ปัญญาจริงๆ คือความเข้าใจตัวเอง ไม่ใช่ไปพยายามให้ตัว เป็นตัวรู้สภาพธรรมะ ซึ่งขณะใดที่รู้สภาพธรรมะ ขณะนั้นไม่ใช่ตัว แต่ต้องเป็นปัญญาจึงสามารถที่จะเข้าใจสภาพธรรมะได้ ฟังอย่างนี้คงจะไม่ทราบว่านี่คือ วิริยารัมพกถา หรือว่าคำพูดที่ทำให้เกิดความเพียรไม่ให้ท้อถอย แต่เพียรที่นี่ไม่ใช่เพียรให้ไปเร่งทำอะไร แต่เพียรที่จะอดทนรู้ว่า การที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมะจริงๆ เป็นเรื่องละ เพราะฉะนั้น ในที่นี้ กถานี้ก็เหมือนกับ กถาที่จะทำให้เกิดการละความต้องการ เพราะเหตุว่าถ้ามีความต้องการที่จะทำ ที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมนั่นผิด
เพราะ ถ้ามีคำพูดใดๆ ที่จะทำให้ไม่ไปต้องการ แต่ว่าเป็นการอบรมความรู้ความเข้าใจ เวลาที่มีความรู้ความเข้าใจนั่นเอง ก็จะทำให้ความต้องการนั้นคลายลง ไม่มีตัวตนเหมือนเดิมที่มากมายที่ต้องการทุกอย่างด้วยความเป็นเรา.

You may also like

Leave a Comment

ช่องทางติดตามข่าวสาร

Copyright @2024  All Right Reserved – Buddhawisdomfoundation Buddhawisdom

-
00:00
00:00
Update Required Flash plugin
-
00:00
00:00