ผู้ที่เห็นประโยชน์จริงๆ ในชีวิต ย่อมรู้ว่า ทรัพย์สมบัติเอาไปไม่ได้ ทุกอย่างเอาไปไม่ได้ แต่ความดี ความเข้าใจพระธรรม ก็จะนำทางต่อไป ให้เป็นคนที่สะสมที่จะเป็นคนที่ดีในชาติต่อๆ ไป จนกว่ากิเลสจะหมด เมื่อรู้อย่างนี้จึงไม่ขาดการฟังการศึกษาพระธรรม
กุศลธรรม
สภาพธรรมที่เป็นกุศลธรรม ไม่เป็นโทษแก่ใคร ๆ ทั้งสิ้น และกุศลธรรม ที่ควรจะเกิดง่าย โดยไม่ต้องรอคอยกาลเวลาเลยนั้นคือ เมตตา ความเป็นมิตร ความเป็นเพื่อน ความปรารถนาดี ความหวังดีต่อผู้อื่น โดยเสมอทั่วกันหมด ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เป็นประโยชน์ในที่ทั้งปวง ตามความเป็นจริงแล้วสำหรับผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ อกุศลจิต ก็ย่อมเกิดขึ้นมาก เกิดขึ้นมากกว่ากุศลจริง ๆ ไม่ว่าจะประสบกับเหตุการณ์ใด ๆ ก็มักจะหวั่นไหวไปด้วยอำนาจของอกุศลประการต่าง ๆ ทั้งโลภะบ้าง โทสะบ้าง และในขณะที่โลภะ หรือ โทสะ เกิดขึ้น ก็จะมีโมหะ เกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ยากที่จะพ้นไปได้ยากที่จะฟันฝ่าคลื่นของอกุศลไปได้จริง ๆ บุคคลผู้ที่ไม่หวั่นไหวด้วยอำนาจของอกุศลใด ๆ เลยนั้น คือ พระอรหันต์
เมื่อเราได้กระทำในสิ่งที่ดีแล้ว ใครจะคิดอย่างไร สะสมมาที่จะเกิดอกุศลอย่างไร ก็เป็นเรื่องของบุคคลคนนั้น ตามการสะสมของเขา ซึ่งบุคคลในลักษณะอย่างนี้ ไม่ได้มีเฉพาะในยุคนี้สมัยนี้ แต่มีแล้วทุกยุคทุกสมัย เราไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย แต่สำหรับผู้ที่ได้สะสมเหตุที่ดีมา เห็นประโยชน์ของกุศลธรรม ก็ย่อมจะมีความจริงใจ ความตั้งใจที่จะเจริญกุศลสะสมความดีต่อไป เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง เพราะสิ่งที่จะเป็นที่พึ่งได้จริง ๆ คือ กุศลธรรม ไม่ใช่บุคคลอื่น และประการสำคัญที่ควรพิจารณา คือ ความดีที่เราได้กระทำนั้น ก็ย่อมเป็นความดี ถึงใครจะบอกว่า ไม่ดี ก็ตาม ความดี ย่อมไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่นตามที่เขาว่า แต่ก็ต้องเป็นผู้พิจารณาว่า ความดีที่เราทำเป็นความดีที่เป็นกุศลจริงๆ หรือไม่ ไม่ใช่เราคิดว่าดี ใครพูดอย่างไรก็ไม่ฟังไม่พิจารณา อย่างนี้ก็ไม่ถูก
แต่ละบุคคล เกิดมาแล้วก็จะต้องตายด้วยกันทั้งนั้น ความตายไม่เคยเกรงใจใครเลยทั้งสิ้น ตายทุกคน แต่สิ่งที่ควรพิจารณา คือก่อนที่ความตายจะมาถึงควรทำอะไร เวลาที่เหลืออยู่นี้ จึงควรอย่างยิ่งที่จะเป็นช่วงเวลาที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา และสะสมความดี ต่อไป